7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าเรายังไม่พร้อมซื้อบ้านในฝัน
การมีบ้านหรือคอนโดนั้นเป็นความฝันของใครหลายคน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยเริ่มทำงานหรือวัยสร้างครอบครัวก็ตาม เชื่อว่าทุกคนต่างก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุก ๆ คนพร้อมจะซื้อบ้านเสมอไป หากไม่พร้อมแล้วรั้นไปซื้อก็สามารถกลายเป็นหนี้สินก้อนโตได้ PropertyScout ขอแนะนำ 7 เช็คลิสต์สำรวจตัวเอง ที่ช่วยบ่งชี้ว่าเรายังไม่พร้อมที่จะซื้อบ้านในฝัน ดังนี้เลย
มีแต่หนี้สินเต็มไปหมด
สำรวจการเงินของตัวเองว่าในแต่ละเดือนต้องนำเงินไปชำระหนี้กับสิ่งใดบ้าง ทั้งบัตรเครดิต , ผ่อนรถยนต์ , ค่าน้ำมัน แล้วในแต่ละเดือนมีเงินคงเหลือพอที่จะผ่อนบ้านอีกหรือไม่? หากมีหนี้สินมากเกินไป การไปยื่นขอกู้จากธนาคารเพื่อซื้อบ้านก็จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น บางครั้งอาจจะกู้ไม่ผ่าน เพราะธนาคารจะนำหนี้สินทั้งหมดหักออกจากรายได้ และนำเงินก้อนนั้นมาคำนวณความสามารถในการกู้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นก่อนซื้อบ้านควรเคลียร์หนี้สินอื่น ๆ ให้เหลือน้อยที่สุดหรือหากเป็นไปได้เคลียร์หนี้สินอื่น ๆ ให้หมดก่อน เพื่อให้การซื้อบ้านของเราไม่กลายเป็นเป็นภาระที่หนักจนเกินไปและมีความสามารถซื้อบ้านในราคาที่สูงขึ้น อยู่ในทำเลที่ดีขึ้น
การงานไม่มั่นคง
เมื่อเริ่มต้นคิดที่จะซื้อบ้าน อย่างแรกที่ต้องคำนึงคือภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามติดระยะยาวไปอีก 10-30 ปี ดังนั้นให้ย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนว่า ในตอนนี้หน้าที่การงานของตัวเองมีความมั่นคงพร้อมแล้วหรือยัง? ทั้งความมั่นคงของบริษัทที่กำลังทำงานอยู่และตัวเราเอง หรือหากมีแนวโน้มจะออกจากงานเร็ว ๆ นี้ ก็ควรชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน รอได้หน้าที่การงานใหม่ที่มั่นคงกว่านี้ หรืออาจจะรายได้ดีกว่านี้ จึงค่อยตัดพิจารณาสินใจซื้อบ้านอีกครั้ง แต่ก็มีหลายคนมักจะคิดว่า 'กู้ซื้อบ้านก่อนค่อยลาออก' เพราะมีสลิปเงินเดือนหรือหลักฐานยืนยันรายได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงทำแบบนี้อาจเป็นการเอาตัวเองขึ้นไปแขวนไว้บนความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
ไม่แน่ใจว่าจะอยู่นานแค่ไหน
การซื้อบ้านซักหลังคือต้องมีเป้าจริง ๆ ว่าจะอยู่ทำเลนั้นเป็นเวลานาน เพราะการซื้อบ้านคือการลงเงินก้อนใหญ่ ดังนั้นหากไม่มั่นใจว่าจะอยู่ทำเลนี้นานกว่า 5 ปี การหาบ้านเช่าอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะเงินที่จ่ายค่าเช่าไป รวม ๆ แล้วน้อยกว่าการซื้อบ้านที่ในช่วงต้นเป็นการจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารมากกว่า และเมื่อท้ายที่สุดแล้วเราก็จะต้องต้องย้ายออก นอกจากนั้นการขายบ้านก็ยังคงสร้างความยุ่งยากตามมา และอจจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะขายได้
ไม่พร้อมกับการรับภาระมากขึ้น
ในที่นี้หมายถึงภาระหน้าที่ที่จะตามมาเมื่อเราเป็น 'เจ้าของ' บ้านแล้ว หลายคนก่อนจะซื้อบ้านก็ไปเช่าบ้านมาก่อน เวลามีอะไรเสียหายก็แจ้งเจ้าของบ้าน แต่เมื่อเรามาเป็นเจ้าของบ้านแล้วก็จะต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง ทั้งการซ่อมแซมและรักษาบ้านให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่เจ้าของบ้านต้องชำระด้วยตนเอง เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง , ค่าเบี้ยประกันภัยต่าง ๆ เป็นต้น
เงินไม่พอกับการวางเงินดาวน์
โดยทั่วไปของการซื้อบ้าน ธนาคารไม่สามารถให้เรากู้ได้เต็ม 100% ของราคาบ้าน ส่วนใหญ่จะให้กู้เต็มที่ประมาณ 80% ของราคาบ้านเท่านั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้าน ควรมีเงินก้อนหนึ่งประมาณ 20% ของราคาบ้าน ซึ่งหากตอนนี้สำรวจแล้วว่ายังมีไม่ถึง หรือมีแบบพอดี ๆ ขอแนะนำให้คุณชะลอการซื้อออกไปก่อน เพื่อออมเงินเพิ่มให้มากกว่านี้ หรือหาบ้านในราคาที่ถูกลง
ไม่มีเงินเก็บฉุกเฉินสำหรับการซื้อบ้าน
นอกจากจะต้องมีเงินก้อนหนึ่งสำหรับการวางเงินดาวน์แล้ว เรายังต้องมีเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน ไว้เผื่อใช้จ่ายยามจำเป็น เช่น ค่าใช้ธรรมเนียมจากธนาคาร , ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซมหรือการซื้อเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น เพราะเราไม่ควรนำเงินสดทั้งหมดไปลงกับเงินดาวน์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดคิด ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่น โอนกรรมสิทธิ์บ้านแล้วยังเข้าอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
เครดิตไม่ดี
สำหรับคนที่มีประวัติเครดิตไม่ดี เช่น การละเมิดการชำระหนี้ มีประวัติการล้มละลายเป็นต้น หรือมีหนี้ค้างชำระมากเกินไป มีโอกาสที่จะได้อนุมัติเงินกู้ยากกว่า หากธนาคารเห็นว่ามีประวัติเครดิตไม่ดี ดังนั้นควรสอบถามคำแนะนำจากธนาคารเพื่อให้ทราบว่าควรปรับปรุงตัวอย่างไร เพื่อสามารถขอกู้เงินได้ และเมื่อทราบวิธีแล้วก็อาจจะต้องเลื่อนแผนซื้อบ้านไปก่อน
สรุปส่งท้าย
ทั้งหมดในบทความข้างต้นนี้เป็นการเช็คลิสต์ความพร้อมในการซื้อบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่ต้องใช้เงินที่เก็บจำนวนมาก และเป็นการสร้างภาระค่าใช้จ่ายไปอีก 10-30 ปีทีเดียว ดังนั้น PropertyScout ขอแนะว่าควรรอให้มีความพร้อม และความมั่นใจในด้านต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน
PropertyScout แหล่งรวมอสังหา ฯ ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
หาทรัพย์ที่ชอบ ในราคาที่ใช่ ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว