In Short
Advice
โรงงานระเบิด เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ผู้อยู่อาศัยทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะสามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ทำให้เราได้รับความเสียหายทั้งในด้านสุขภาพและทรัพย์สิน ซึ่งเหตุการณ์โรงงานระเบิดในทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนมุมมองการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยของหลาย ๆ คน จากที่เคยมุ่งเน้นด้านบวกของทำเลเป็นหลัก โดยเลือกโครงการตั้งอยู่ใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกอย่างห้างสรรพสินค้า สนามบิน โรงพยาบาล รถไฟฟ้า หรือ ติดถนนใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้หลายคนก็เลือกที่จะให้ความสำคัญกับด้านลบเช่นกัน อย่างเช่น การดูว่าโครงการนั้น ๆ ตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานอันตราย โรงงานผลิตสารเคมี หรือ สถานที่กักเก็บเชื่อเพลิงต่าง ๆ หรือไม่
เดี๋ยว PropertyScout จะพาทุกคนไปดูกันว่า ในกรุงเทพ ฯ มีทำเลไหนเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากโรงงานอันตรายบ้าง? โรงงานแบบไหนจัดว่าเป็นโรงงานอันตราย? และโรงงานควรตั้งอยู่ห่างจากบ้านเราแค่ไหน? เพื่อที่ทุกคนจะได้เลือกทำเลบ้านและคอนโดของตัวเองได้อย่างสบายใจ

ขั้นตอนแรก : มาทำความเข้าใจกันว่าโรงงานประเภทไหนจัดว่า “เป็นอันตราย” ต่อเรา
โดยปกติแล้วโรงงานจะถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน แต่สำหรับบทความนี้ เราจะมุ่งเน้นไปที่โรงงานอันตราย ที่สามารถส่งผลให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงการส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นั้น ๆ ทุกคน จากข้อมูลโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สามารถแบ่งประเภทโรงงานออกเป็นสองแบบด้วยกัน ดังนี้

และส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ทุกคน
โรงงานอันตรายประเภทแรก : โรงงานที่จำเป็นต้องมีบุคคลากรด้านสิ่งแวดล้อมประจำโรงงาน
โรงงานที่จำเป็นต้องมีบุคคลากรด้านสิ่งแวดล้อมประจำโรงงาน เป็นโรงงานรูปแบบที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศไว้ว่าจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษ หรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีดังนี้
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตคลอร์ - แอลคาไลน์ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตสารออกฤทธิ์หรือสารที่ใช้ป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือสัตว์โดยใช้กระบวนการเคมี หรือประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตปุ๋ยเคมีโดยใช้กระบวนการเคมี |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตยางเรซินสังเคราะห์ ยางอีลาสโตเมอร์ พลาสติก หรือเส้นใยสังเคราะห์ที่ไม่ใช่ใยแก้ว |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม |
โรงงานประกอบกิจการผลิตปูนซีเมนต์ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับเหล็กหรือเหล็กกล้า |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการถลุงหรือหลอมโลหะ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว หรือของเสียที่เป็นอันตรายจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว |
โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวมเช่นระบบบำบัดน้ำเสียรวมการเผาสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว การปรับสภาพสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เป็นอันตราย |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการแยกหรือแปรสภาพก๊าซธรรมชาติ |
โรงไฟฟ้าพลังความร้อน |
โรงงานที่มีน้ำเสียปนเปื้อนสารอินทรีย์ |
โรงงานที่ใช้สารหรือองค์ประกอบของสารเคมีเช่น สังกะสี แคดเมียม ไซยาไนด์ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตน้ำตาล |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับสุรา แอลกอฮอล์ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตเยื่อจากไม้หรือวัสดุอื่น |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับปิโตรเคมีที่มีกระบวนการผลิตทางเคมี |
*ข้อมูลจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการกำหนดชนิดและขนาดของโรงงานกำหนดวิธีการควบคุมการปล่อยของเสียมลพิษหรือสิ่งใดๆที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแลผู้ปฏิบัติงานประจำและหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมดูแลสำหรับระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ 2554 |

โรงงานอันตรายประเภทที่สอง : โรงงานความเสี่ยงสูง
โรงงานความเสี่ยงสูง เป็นโรงงานรูปแบบที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกลุ่มว่ามีความเสี่ยง ที่อาจเกิดอันตรายจากการประกอบกิจการ มีดังนี้
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับปุ๋ยหรือสารป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือสัตว์ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตยางเรซินสังเคราะห์ยางอีลาสโตเมอร์พลาสติกหรือเส้นใยสังเคราะห์ซึ่งไม่ใช่ใยแก้ว |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับเคมีภัณฑ์สารเคมีหรือวัตถุอันตราย |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับสีน้ำมันชักเงาแลคเกอร์หรือผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ยาหรืออุด |
โรงงานสกัดน้ำมันจากสัตว์ไขมันสัตว์ หรือพืช |
โรงงานห้องเย็น |
โรงงานบรรจุก๊าซ |
โรงงานผลิตก๊าซซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติส่งหรือจำหน่ายก๊าซ |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม ถ่านหิน หรือลิกไนต์ |
โรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม |
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการทำไม้ขีดไฟ วัตถุระเบิด หรือดอกไม้ไฟ |
โรงงานผลิต ซ่อมแซม ดัดแปลงเครื่อง กระสุนปืน วัตถุระเบิด หรือสิ่งอื่นใดที่มีอำนาจในการประหาร ทำลายหรือทำให้หมดสมรรถภาพ ในทำนองเดียวกันกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด และรวมถึงสิ่งประกอบของสิ่งดังกล่าว |
*ข้อมูลจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ 3 พ.ศ.2542 ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เรื่องมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการดำเนินงาน |

วิธีตรวจเช็คว่าโรงงานไหนเป็นโรคงานอันตราย
สำหรับคนที่กำลังหาทำเลซื้อบ้านหรือคอนโดที่ใหม่ หรือคนที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีโรงงานอยู่ในละแวกเดียวกับที่อยู่ตัวเอง แล้วเกิดความวิตกกังวล สามารถเข้าไปตรวจเช็คข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมโรงงานอุตสาหกรรมตามลิ้งค์นี้
ตัวอย่างการตรวจเช็คข้อมูลโรงงานผ่านเว็บไซต์กรมโรงงานอุตสาหกรรม
เมื่อเข้าไปยังหน้าแรก สามารถกรอกเพียงแค่ชื่อของโรงงานได้เลย

หลังจากกรอกชื่อโรงงานไปแล้ว เมื่อคลิกค้นหาข้อมูลก็จะเห็นข้อมูลของโรงงานนั้น ๆ
ว่าประกอบกิจการแบบไหน เข้าข่ายโรงงานอันตรายหรือไม่ ทีนี้เราก็สามารถประเมินได้แล้วว่า
โครงการที่เรากำลังจะซื้อ อยู่ใกล้โรงงานแค่ไหน มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนที่สอง : โรงงานควรตั้งอยู่ห่างจากบ้านของเราแค่ไหน?
สำหรับเรื่องรัศมีหรือระยะความห่างของที่ตั้งบ้านกับโรงงาน ทาง PropertyScout คงจะให้คำตอบแบบยืนยันแน่ชัดไม่ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของทุกคน ก็จะขอนำเสนอข้อมูลที่อ้างอิงจากกฎกระทรวงของกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ที่ได้กำหนดว่าโรงงาน 3 ประเภทดังนี้จะต้องมีระยะปลอดภัยตามนี้
*โรงงานประเภทที่ 1 = โรงงานที่มีจำนวนคนงาน 7-20 คน และ/หรือ มีเครื่องจักรกำลังแรงม้ารวม 5-20 แรงม้า (ยกเว้นโรงงานที่สร้างมลภาวะให้จัดเป็นโรงงานจำพวกที่ 3)
*โรงงานประเภทที่ 2 = โรงงานที่มีจำนวนคนงาน 21-50 คน และ/หรือ มีเครื่องจักรกำลังแรงม้ารวมมากกว่า 20 แรงม้า แต่ไม่เกิน 50 แรงม้า (ยกเว้นโรงงานที่สร้างมลภาวะให้จัดเป็นโรงงานจำพวกที่ 3)
*โรงงานประเภทที่ 3 = โรงงานที่มีจำนวนคนงานมากกว่า 50 คน และ/หรือ มีเครื่องจักรกำลังแรงม้ารวมมากกว่า 50 แรงม้า หรือเป็นโรงงานที่สร้างมลภาวะ
ห้ามตั้งโรงงานประเภทที่ 1 และ โรงงานประเภทที่ 2 ใกล้กับสถานที่ดังต่อไปนี้
- บริเวณที่มีอาคารชุดพักอาศัย บ้านแถวเพื่อการพักอาศัย และบ้านจัดสรรเพื่อการพักอาศัย
- ภายในระยะ 50 เมตรจากเขตติดต่อสาธารณสถาน ได้แก่ โรงพยาบาล โบราณสถาน วัดหรือศาสนสถาน โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา และสถานที่ทำการของหน่วยงานของรัฐ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงแหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ห้ามตั้งโรงงานประเภทที่ 3 ใกล้กับสถานที่ดังต่อไปนี้
- บริเวณที่มีอาคารชุดพักอาศัย บ้านแถวเพื่อการพักอาศัย และบ้านจัดสรรเพื่อการพักอาศัย
- ต้องตั้งอยู่ในทำเลที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม และเนื้อที่เพียงพอต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมตามขนาด
- ภายในระยะ 100 เมตรจากเขตติดต่อสาธารณสถาน ได้แก่ โรงพยาบาล โบราณสถาน วัดหรือศาสนสถาน โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา และสถานที่ทำการของหน่วยงานของรัฐ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงแหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
- อีกข้อสำคัญคือ ประเภทหรือชนิดของโรงงานจะต้องไม่ก่อเหตุรำคาญ ความเสียหาย หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย

ขั้นตอนสุดท้าย : ดู “ผังเมือง” เพื่อหาทำเลที่เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ไม่อนุญาตให้สร้างโรงงาน
มาถึงขั้นตอนสุดท้ายกันแล้ว เป็นขั้นตอนของการค้นหาพื้นที่โซนปลอดภัยจากการดู ผังเมือง ซึ่งปกติแล้วรัฐได้มีกฎหมายรองรับเรื่องของการจัดสรรโซนนิ่งของที่ดินให้เหมาะสมกับการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินสำหรับอยู่อาศัย การทำโรงงานอุตสาหกรรม การทำพาณิชยกรรม และอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่าพื้นที่ไหนเป็นโซนปลอดภัยที่เราสามารถอยู่อาศัยได้ หรืออธิบายให้เข้าใจโดยง่ายคือ เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมกับการอยู่อาศัยนั่นเอง
ผังเมืองคืออะไร?
ผังเมือง คือ การจัดสรรพื้นที่ส่วนต่างในประเทศ และในแต่ละจังหวัด โดยรัฐได้มีกฎหมายกำหนดไว้ว่า เราสามารถทำประโยชน์อะไรบนพื้นที่โซนไหนได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่โซนที่อยู่อาศัย พื้นที่โซนเกษตรกรรม หรือพื้นที่โซนโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
การที่ต้องวางผังเมืองในลักษณะนี้ มีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้เกิดการใช้สอยที่ดินแต่ละโซนอย่างไม่เป็นระบบระเบียม และอาจจะนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยได้ นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทุกคน ตั้งแต่การเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างที่ดินข้างเคียง และป้องกันการทำลายสิ่งแวดล้อม และเหตุการณ์อื่น ๆ
หากว่าทุกคนเข้าใจเรื่องการแบ่งพื้นที่ผังเมืองแล้ว ก็จะช่วยให้มีข้อมูลว่าทำเลไหนอยู่ใกล้พื้นที่ที่มีโรงงาน หรือแหล่งเชื้อเพลิงต่าง ๆ และเราก็สามารถนำไปพิจารณาตัดสินใจเลือกทำเลซื้อบ้านหรือคอนโดได้ดีมากขึ้นนั่นเอง
การแบ่งโซนผังเมืองตาม “รูปแบบของการใช้ประโยชน์” และ “สี”
รัฐได้กำหนดโซนผังเมืองตามรูปแบบของการใช้ประโยชน์ออกเป็น 6 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีการระบุด้วย “สี” อีกทีนึง ซึ่งการใช้สีระบุ เป็นการช่วยให้ทุกคนสามารถดูแผนที่ผังเมืองได้อย่างสะดวกสบายนั่นเอง โดยรูปแบบของการใช้ประโยชน์มีดังนี้
ที่ดินประเภทอยู่อาศัย
สำหรับที่ดินประเภทที่อยู่อาศัย จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อยตามความหนาแน่นของปริมาณการอยู่อาศัย และถูกระบุด้วยสีดังนี้
- สีเหลือง : ที่ดินอยู่อาศัยความหนาแน่นต่ำ (ย.1-ย.4)
- สีส้ม : ที่ดินอยู่อาศัยความหนาแน่นปานกลาง (ย.5-ย.7)
- สีน้ำตาล : ที่ดินอยู่อาศัยความหนาแน่นสูง (ย.8-ย.10)

ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม
ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมมีจุดประสงค์หลักเพื่อการพาณิชย์ อย่างเช่นใช้เป็นศูนย์กลางธุรกิจ การค้า การบริการ แต่ยังสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้
- สีแดง (พ.1-พ.5)

ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ
ที่ดินประเภทนี้เป็นของรัฐ ใช้เป็นสถานที่ราชการ สถาบันราชการ หรือการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือเพื่อใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ เช่น วัด ศาสนสถาน ที่ดินของสถาบันการศึกษา เป็นต้น
- สีน้ำเงิน (ส.)

ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ และศิลปวัฒนธรรมไทย
ที่ดินประเภทนี้ใช้ในการทำกิจกรรมการพาณิชย์ การบริการ และการท่องเที่ยว มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว รวมไปถึงการอนุรักษ์และส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ
- สีน้ำตาลอ่อน (ศ.1-ศ.2)

ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม และ ประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม
เป็นที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยตามรูปแบบการใช้งาน และถูกระบุด้วยสีดังนี้
- สีเขียว : พื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม (ก.4-ก.5)
- สีขาวมีเส้นทแยงสีเขียว : พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ก.1-ก.3)

ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม
สำหรับที่ดินประเภทอุตสาหกรรม จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยตามรูปแบบการใช้งาน และถูกระบุด้วยสีดังนี้
- สีม่วง : พื้นที่อุตสาหกรรมและโรงงานผลิตต่าง ๆ (อ.1-อ.2)
- สีม่วงเม็ดมะปราง (ม่วงอ่อน) : พื้นที่คลังสินค้า (อ.3)

หลังจากที่ทราบกันแล้วว่าที่ดินแต่ละสีนั้น ถูกจำกัดประเภทการใช้งานอย่างไรบ้าง และทีนี้ หากเราต้องการรู้ว่าทำเลที่เรากำลังหาซื้อบ้าน คอนโด หรือ ทำเลที่อยู่ปัจจุบันเรานั้น รัฐให้มีการสร้างโรงงานแบบไหนบ้าง เราก็จะต้องไปดูกันต่อในเรื่องของ รหัสผังสี ที่ถูกระบุไว้ด้วยพยัญชนะไทยตามด้วยตัวเลข อย่างเช่น ที่ดินสีม่วง “(อ.1-อ.2)” ที่เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและโรงงานผลิตต่าง ๆ
วิธีตรวจเช็คสีผังเมืองของทำเลบ้าน หรือคอนโดที่สนใจ หรือที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน
นอกจากนั้นเรายังสามารถตรวจเช็คสีผังเมืองของทำเลที่สนใจ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้เว็บไซต์ Longdo Map
วิธีการมีดังนี้
- เข้าเว็บไซต์ Longdo Map
- คลิ๊กเลือกประเภทแผนที่เป็น ผังเมืองประเทศไทย
- พิมพ์ชื่อโครงการบ้านหรือคอนโดหรือ สถานที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน แล้วคลิ๊กค้นหา
- เพียงแค่นี้ก็เห็นว่าที่ที่ค้นหานั้นอยู่ผังเมืองสีอะไร ถูกกำหนดให้ใช้ประโยชน์รูปแบบไหน

บทสรุปส่งท้าย
Property Scout ขอกล่าวสรุปบทความนี้ว่า การเลือกทำเลบ้าน คอนโด ให้อยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยและสบายใจนั้น ควรจะเน้นไปที่การดูสองสิ่งหลัก ซึ่งก็คือ ดูว่าทำเลนั้น ๆ อยู่ในโซนที่ทางรัฐได้จัดให้เป็นที่อยู่อาศัยหรือไม่ (ดูว่าอยู่ในพื้นที่ผังเมืองสีอะไร) และ ดูสภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการว่ามีระยะรัศมีใกล้โรงงานอันตรายหรือไม่ โดยการนำชื่อโรงงานเข้าไปเช็คในเว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมครับ
อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรวางใจเต็ม 100% ว่าทำเลที่อยู่อาศัยในทุกโซนที่อยู่อาศัยจะปลอดภัยได้จริง ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายที่กำหนดการจัดโซนการใช้ประโยชน์ที่ดินไว้อย่างชัดเจนก็ตาม เนื่องจากว่าขนาดของตัวเมืองก็ขยายตามกาลเวลาที่ผ่านไป ที่ดินสีม่วงที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงงานอันตรายบางแห่งอาจจะกลายเป็นที่ดินสีแดงในปัจจุบัน เป็นเขตพาณิชยกรรมที่มีคนอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น และมีโครงการหมู่บ้านหรือคอนโดเข้ามาเปิดหลายที่ ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นที่ดินสีผสม และต้องขอบอกว่าที่ดินแบบนี้มีกระจายอยู่ในกรุงเทพ ฯ หลายที่ด้วยครับ ดังนั้นขอแนะนำให้ตรวจเช็คทำเลให้รอบคอบก่อนลงทุนซื้อบ้านซื้อคอนโดนะครับ
อ่านบทความ รีวิวโครงการ หรืออัปเดตข่าวเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ได้ที่ PropertyScout Blog หากมีคำถาม ข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือต้องการ เช่า ซื้อ ขาย ติดต่อ PropertyScout ได้เลย! ทีมงานของเราพร้อมให้บริการและตอบทุกข้อสงสัย
FAQs
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique.
Explore More Topics
Free real estate resources and tips on how to capitalise