สังเกตให้ดีใน “สัญญา” เช่าซื้อ ควรมีอะไรบ้าง!?
ดูให้ดี ทั้งผู้ซื้อ ขาย และเช่า!
สวัสดีค่า มาเจอกับ PropertyScout อีกแล้วนะคะ 😍 จะบอกว่าการซื้อ เช่า และขายนั้น นอกจากจะมีปัจจัยสำคัญต่าง ๆ เช่น งบประมาณ ชนิดอสังหา ฯ ทำเล แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในการเช่า ซื้อ และขายก็คือ สัญญา นั่นเอง เพราะในการเซ็นสัญญาแต่ละครั้งนั้นจะมีรายละเอียดในการทำมาก ๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน!
สัญญาเช่า ซื้อ คืออะไร?
สัญญาการเช่า ซื้อ และขายนั้น เป็นสัญญาที่มีความสำคัญมาก ๆ ในการทำธุรกรรมทางอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ที่ทำสัญญาและเซ็นต์สัญญานั้นจะต้องให้ความใส่ใจและความละเอียดรอบคอบมาก ๆ เพราะในเอกสารนั้น มีรายละเอียดอีกหลาย ๆ ส่วน ทั้ง เวลา ประเภทสัญญา ชื่อคู่สัญญา เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ซื้อจึงต้องเข้าใจถึงรายละเอียด บทบาท และอื่น ๆ ของสัญญาเพื่อตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ก่อนเซ็นสัญญาเพราะจะได้ไม่โดนเอาเปรียบ หรือหากมีปัญหาในระหว่างดำเนินการ สัญญาไม่ถูกต้อง เราจะได้หาวิธ้แก้และป้องกันได้
ตัวอย่างสิ่งที่ควรอยู่ในสัญญา
หลังจากนี้ เราจะมาบรรยายถึงตัวอย่างของสิ่งที่ควรอยู่หรือสังเกตในสัญญาว่าควรมีอะไรบ้าง และแต่ละอย่างมีความหมายความยังไง ไปดูกันเลย!
รายละเอียดการทำสัญญา
สิ่งแรกที่ต้องโฟกัสและอ่านให้ครบคือ รายละเอียดการทำสัญญา ว่าการทำธุรกรรมทางอสังหา ฯ ในรอบนี้นั้น เป็นการเช่าหรือซื้อ เพราะว่าระยะเวลาและรายละเอียดต่าง ๆ ภายในนั้นจะต่างกันออกไปตามประเภทการเซ็นต์สัญญา หากเช่า ก็จะมีระยะเวลาในการอยู่อาศัย จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน หากมีค่าซ่อมแซม ฝ่ายไหนจะเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าหากเป็นขายนั้น ก็จะมีการโอนสิทธิ์ต่าง ๆ ด้วย
ราคาที่ต้องจ่าย
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องอ่านและเช็กให้ละเอียดคือ ราคา ทั้งตัวเลขและตัวอักษร อีกทั้งยังต้องเช็กด้วยว่า มีการลงท้ายเป็นหน่วยอะไร เป็นเลขถ้วนไหม อีกทั้งต้องเช็กด้วยว่า เป็นราคาตามตกลงไหม มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นโดยไม่แจ้งให้ทราบหรือไม่ เป็นต้น
หากเป็นในกรณีเช่านั้น จะต้องเช็กว่า ในแต่ละเดือน ราคาที่ต้องจ่ายนั้น จ่ายเป็นเท่าไหร่ จ่ายผ่านทางไหน อีกทั้งมีระยะเวลาในการเช่าเท่าไหร่นั่นเอง
ชื่อคู่สัญญา
ชื่อของคู่สัญญานั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นต้องระบุในสัญญา เพื่อเป็นการแจ้งและเป็นการประกาศให้ทราบว่า ในการทำธุรกรรมครั้งนี้ มีใครเข้าร่วมบ้าง และใครเป็นฝ่ายไหน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ แบ่งความรับผิดชอบ อีกทั้งเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายนึงผิดสัญญา เราสามารถนำชื่อของอีกฝ่ายไปทำการแจ้งดำเนินเรื่องได้เช่นกัน
ในการระบุชื่อคู่สัญญานั้น จะต้องมีเอกสารต่าง ๆ มายืนยันตัวตนให้ชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนที่มาเซ็นต์สัญญานั้น เป็นคน ๆ นั้นจริง ๆ ไม่ใช่ใครก็ได้มาเซ็นต์สัญญาแทน
วัน เดือน ปี ในการทำสัญญา
การระบุวันในการทำสัญญาอย่างชัดเจน จะช่วยให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รู้และสามารถกำหนดระยะเวลาในสัญญาได้อย่างชัดเจน ทั้งวัน เดือน และปี และการที่ระบุทุกสิ่งชัดเจนนั้น จะทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และเพื่อป้องกันการมีปัญหากันเมื่อต้องชำระเงินหรือมีปัญหากันนั่นเอง
ระยะเวลาของสัญญา
นอกจากการระบุวันที่ให้ชัดเจนแล้วนั้น ระยะเวลาในสัญญานั้นก็สำคัญ ในส่วนนี้จะระบุถึงช่วงเวลาที่สัญญาเริ่มมีผลบังคับใช้ไปจนถึงช่วงเวลาที่สิ้นสุดลง รวมไปการขยายระยะเวลาสัญญาว่าจะต้องแจ้งความประสงค์ต่อกันภายในกี่วันก่อนสัญญาสิ้นสุด โดยจะต้องมีการตกลงเงื่อนไขและทำสัญญาฉบับใหม่ขึ้นอีกครั้ง
เงื่อนไขหรือกรณียกเว้น
ส่วนสุดท้ายที่สำคัญก็คือ เงื่อนไขหรือกรณียกเว้น เพราะสิ่ง ๆ นี้ทำให้หลาย ๆ คนที่อ่านสัญญาไม่ละเอียดนั้นมีปัญหากันมาเยอะแล้ว ทั้งต้องจ่ายเพิ่มเติม หรือผิดสัญญาเรื่องระยะเวลา และไม่ทราบข้อกำหนดต่าง ๆ ดังนั้น สิ่งที่เราควรต้องอ่านอีกอย่างคือ "กรณียกเว้น" เพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาต่าง ๆ นั่นเอง
สรุปส่งท้าย
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ในสัญญาต่าง ๆ นั้นจะมีสิ่งที่ต้องโฟกัสหลาย ๆ อย่างมาก ที่เราพูดมานั้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ควรดูเท่านั้น เพราะการดูสัญญาให้ละเอียดถี่ถ้วนนั้น จะช่วยลดปัญหากระทบกระทั่งของทั้งฝ่ายซื้อและฝ่ายขาย ไปจนถึงช่วยให้เราได้เข้าใจตัวสัญญามากขึ้นว่า เรามีข้อกำหนดอะไร มีค่าใช้จ่าย และมีระยะเวลาเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้บริหารจัดการการเงินได้ถูกต้องด้วยนั่นเอง
ทาง PropertyScout หวังว่า บทความของเราจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้หาคอนโดที่ถูกใจไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม สามารถบอกเราได้เลยนะ ไว้เจอกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ
ถ้ามีคำถาม ข้อสงสัยอื่นๆเพิ่มเติม เกี่ยวกับการฝากซื้อฝากขาย หรือซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ หรืออยากหาที่พักโดนใจ ราคากันเอง แถมตรงปก ติดต่อ PropertyScout ได้เลย! ทางทีมงานยินดีช่วยเหลือและตอบทุกข้อสงสัยเลยค่า