In Short
Advice
First Jobber แชร์เก็บไว้ ได้ใช้แน่นอน
"อยากมีคอนโดสักห้องไว้ตอนเริ่มทำงาน" ต้องเป็นหนึ่งในความคิดของเด็กจบใหม่หลาย ๆ คนแน่นอนเลยใช่ไหม? เราเองก็เหมือนกัน ทั้งอยากมีคอนโดใกล้ที่ทำงาน จะได้ทำงานสะดวก หรืออยากหาคอนโดใกล้กับที่เที่ยว จะได้ไปไหนมาสะดวก แต่ก็ต้องตามมาด้วยปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้งรายได้ไม่พอ ไม่สามารถกู้ได้ รวมไปถึงอาจจะยังไม่มีประสบการณ์ในการเลือกคอนโด ทำให้ได้ห้องไม่ตรงปกมา
ดังนั้น วันนี้ PropertyScout ขอแชร์ทริค พาคุณมารู้จักกับ ทริคซื้อคอนโดสำหรับเด็กจบใหม่ ที่ทำง่าย ได้ตรงปก แถมคำนวณค่าใช้จ่ายได้ด้วย จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน!

ทริคซื้อคอนโด
ในการที่เราจะเลือกซื้อคอนโดสักที่นั้น เราก็ต้องมีปัจจัยในการเลือกให้เราได้คอนโดที่ดี ราคาเหมาะสม และถูกใจในการอยู่อาศัย ดังนั้น การที่เรามีข้อแนะนำดี ๆ ในการช่วยเลือกซื้อคอนโดก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อยเลยจริงไหม วันนี้เราเลยขอเอาทริคมาฝากกันค่า
คำนวณค่าใช้จ่าย
สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกเมื่อจะซื้อคอนโดก็คงไม่พ้นเรื่องของ ค่าใช้จ่าย นั่นเอง สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ยิ่งสำหรับเด็กจบใหม่ หรือ First Jobber ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน คนที่กำลังจะเก็บเงิน และคนที่มีเงินเก็บยังไม่เยอะ เพราะว่าในช่วงแรก ๆ นั้น เราก็รู้จักจัดการและบริหารค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนก่อน

ในการที่เราจะเก็บเงินเพื่อซื้ออะไรสักอย่าง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมนั้น ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อนอกจากตัวโครงการแล้ว ยังต้องรวมไปถึงค่าส่วนกลาง ค่ากองทุน และค่าตกแต่งห้องเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายนั้นมีมากกว่าที่เราคิดไว้
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ควรคำนึงถึง
- ค่าอาหาร
- ค่าเดินทาง
- ค่าใช้จ่ายประจำ
- ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบัตรเครดิต
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
- ค่าเอนเตอร์เทนต์ ค่าโทรศัพท์ ค่าเที่ยว
สัดส่วนในการแบ่งเงิน
ค่าใช้จ่ายประจำ/ค่าใช้จ่ายส่วนตัว/เงินออม/เงินเก็บเผื่อ |
- สูตรแบ่งเงินกลาง ๆ : 50/20/20/10
- สูตรเน้นใช้จ่าย : 50/30/10
- สูตรเน้นเงินจ่ายค่าคอนโด : 60/25/15
เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้แล้วนั้น เราก็ต้องแบ่งสัดส่วนในการที่จะนำมาใช้จ่ายในตอนที่เราซื้อคอนโดหรือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตอนซื้อคอนโด ด้วย แม้เราจะมีเงินกู้เข้ามาช่วยก็ตาม แต่เราก็ต้องมีการแบ่งออกมาสำรองจ่ายในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ ด้วยนะคะ ในส่วงของค่าใช้จ่ายของคอนโดนั้นจะมีดังนี้เลยค่า
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการซื้อคอนโด
- ค่าตกแต่งห้อง หรือ รีโนเวท
- ค่าเฟอร์นิเจอร์
- ค่าส่วนกลาง
- ค่ากองทุน
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
- ค่าที่จอดรถ
นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้ว เราต้องอย่าลืมแบ่งเงินออมออกมาประมาณ 10% ต่อเดือนด้วยนะคะ จะได้มีเงินสำรองจ่ายในบางกรณี หรืออาจจะเก็บเป็นเงินใช้จ่ายในอนาคตได้อีกด้วย
บทความเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
เช็กจำนวนเงินที่กู้ได้
ส่วนต่อมาเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายเสร็จแล้วก็ต้องมาดูในเรื่องของ เงินกู้ กันว่าเงินที่ใช้ได้นั้น สามารถนำมาพอใช้กู้ได้ไหม ถ้าได้จะได้เท่าไหร่ บวกกับดอกเบี้ยธนาคารไหนโอเค เงื่อนไขของแต่ละธนาคารเป็นยังไง รวมไปถึงเรื่องระยะเวลาในการกู้ด้วย โดยที่ทุกอย่างนั้นจะสัมพันธ์กัน และมีผลของการตัดสินใจของแต่ละธนาคารเป็นอย่างมาก เงื่อนไขและรายละเอียดในการกู้นั้น จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!

สูตรคำนวณมีง่าย ๆ ดังนี้
ความสามารถในการชำระหนี้
รายได้ทั้งหมดต่อเดือน*40% = ความสามารถในการชำระหนี้ |
ในส่วนของการคำนวณนั้น ส่วนใหญ่ธนาคารมักจะยึดกับเรท 40% ของรายได้ต่อเดือน จากนั้นจะนำมาคำนวณต่อกับจำนวนวงเกินกู้ที่ได้มากที่สุด บวกกับระยะเวลาที่เราสามารถผ่อนได้ ยิ่งกู้ตั้งแต่อายุงานน้อย ๆ ระยะเวลาการผ่อนก็จะเยอะตามไปด้วย
*เหตุผลที่ต้องเป็น 40% นั้น เพราะว่า ทางธนาคารจะพิจารณาอัตราเงินกู้
จากรายได้หลักถูกหักลบค่าใช้จ่ายนั่นเอง
ตัวอย่าง
นาย P มีเงินเดือนทั้งหมด 20,000 บ. หากบวกลบแล้ว จะมีความสามารถในการชำระหนี้
วิธีทำ
20,000*40% = 8,000 บ.
*ความสามารถในการชำระหนี้จะเท่ากับ 8,000 บ.
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น
(เงินต้นคงเหลือ*อัตรดอกเบี้ยต่อปี*จำนวนวันในงวด)/จำนวนวันใน 1 ปี = ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น |
ในส่วนของดอกเบี้ยนั้นจะต่างกันไปตามแต่ละธนาคาร ซึ่งจะนำมาคำนวณกับเงินต้นคงเหลือและจำนวนเงินในงวด จากนั้นนำระยะเวลา 1 ปีมาหาร เพื่อหาดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในปีนั้นนั่นเอง
อัตราดอกเบี้ยแต่ละธนาคาร
อัปเดตวันที่ 6 ธ.ค. 65
ธนาคารไทยพานิชย์ | 5.995% |
ธนาคารกสิกรไทย | 5.97% |
ธนาคารกรุงเทพ | 6.25% |
ธนาคารกรุงไทย | 6.22% |
ธนาคารกรุงศรี | 6.05% |
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร | 6.85% |
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย | 7.75% |
ธนาคารทหารไทยธนชาติ | 6.48 |
ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย | 9.05% |
ธนาคารยูโอบี | 7.75% |
ธนาคารออมสิน | 6.245% |
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ | 6.15% |
ตัวอย่าง
นาย P มีเงินเดือนทั้งหมด 20,000 บ. ต้องการซื้อคอนโดราคา 3,000,000 บ. หากอยากกู้กับธนาคารกสิกรไทย จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าไหร่
วิธีทำ
(เงินต้นคงเหลือ*อัตรดอกเบี้ยต่อปี*จำนวนวันในงวด)/จำนวนวันใน 1 ปี = ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น
(3,000,000*5.97%*30)/365 = 14,720 บ.
*ดอกเบี้ยต่อปีจะเท่ากับ 14,720 บ.
เงินต้นที่ลดลง
จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้น-ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น = เงินต้นลดลง |
ตัวอย่าง
นาย P ต้องจ่ายเงินต่องวดอยู่ที่ 20,000 บ. จะมีเงินต้นเหลือเท่าไหร่
วิธีทำ
จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้น-ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น = เงินต้นลดลง
20,000 - 14,720 = 5,280 บ.
*เงินต้นลดลง = 5,280 บ.
เงินต้นคงเหลือ(เพื่อคำนวณดอกเบี้ยงวดถัดไป)
เงินต้นคงเหลือจากงวดก่อน-เงินต้นลดลง = เงินต้นคงเหลือ(เพื่อคำนวณดอกเบี้ย) |
ตัวอย่าง
นาย P ต้องจ่ายเงินต่องวดอยู่ที่ 20,000 บ. จะเหลือเงินที่ใช้คำนวณงวดหน้าได้ยังไง
วิธีทำ
เงินต้นคงเหลือจากงวดก่อน-เงินต้นลดลง = เงินต้นคงเหลือ(เพื่อคำนวณดอกเบี้ย)
20,000 - 5,280 = 5,280 บ.
*เงินต้นลดลง = 14,720 บ.
บทความเกี่ยวกับการกู้
นึกถึงจุดประสงค์ในการซื้อ
มาถึงเรื่องต่อมา นั่นก็คือเรื่อง จุดประสงค์ในการซื้อ เพราะการที่เราจะซื้อโครงการคอนโดมิเนียมสักที่นั้น เราเองก็ต้องคำนึงจุดประสงค์ในการซื้อด้วย ส่วนใหญ่แล้วนั้น First Jobber นั้นจะเน้นเรื่องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าที่จะลงทุน แต่ก็มีกลุ่มคนส่วนหนึ่งที่มีบ้านอยู่อยู่แล้ว แล้วเริ่มอยากเป็นนักลงทุนมือใหม่ ก็จะเน้นการซื้อไปในทางปล่อยเช่ามากกว่า

- เพื่ออยู่อาศัย
นับได้ว่ามากกว่า 80% ของ First Jobber หรือเด็กจบใหม่นั้นจะเน้นไปในทางการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเสียมากกว่า พร้อมด้วยเหตุผลส่วนตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่อออกมาเริ่มใช้ชีวิตใหม่ ซื้อเพราะอยู่ใกล้ที่ทำงาน หรือซื้อเพราะว่าอยากออกมาตั้งตัวกับคนรักเองก็ดี ทำให้คนที่ซื้อคอนโดมิเนียมด้วยจุดประสงค์นี้ส่วนใหญ่นั้น ต้องเน้นการซื้อคอนโดที่สามารถอาศัยอยู่ได้จริง สบาย ไม่อึดอัด และตอบโจทย์การใช้ชีวิต นั่นเอง
- เพื่อการลงทุน
ในส่วนของการลงทุนนั้น เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาคอนโดไว้เพื่อการลงทุนมากกว่าการอยู่อาศัย เพราะพวกเขาเชื่อว่าการลงทุนตอนนี้นั้นจะทำให้พวกเขาได้เงินและได้กำไรในระยะยาวมากกว่า ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะนับเป็นรายได้หลักหรือเป็นรายได้แบบ Passive ต่อจากงานประจำก็ได้เช่นกัน
ซึ่งการลงทุนนั้นเราก็จะสามารถลงทุนได้หลายแบบทั้งปล่อยเช่า ปล่อยขาย ตกแต่งเพื่อขายต่อ ไปจนถึงปล่อยเช่าเป็นโรงแรม เป็นต้น รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่บล็อกด้านล่างได้เลยนะคะ
บทความเกี่ยวกับการลงทุน
เลือกคอนโดที่เหมาะสม
เมื่อเรารู้ถึงจุดประสงค์แล้ว สิ่งที่เราควรรู้ต่อมาก็คือเรื่องความเหมาะสมของคอนโดมิเนียมนั้น ว่าคอนโดนั้นเหมาะกับเราแค่ไหน ทั้งไลฟ์สไตล์ ระยะทาง การเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก ไปจนถึงปัจจัยอื่น ๆ ทั้งราคาของโครงการนั้น และทำเลที่ตั้ง โดยที่ความเหมาะสมของแต่ละคนนั้นจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของแต่ละคน ซึ่งเราขอยกตัวอย่างมาให้ทุกคนดู จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ทำเลที่ตั้ง
ในส่วนของ ทำเลที่ตั้ง นั้นจะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนต้องคำนึงถึง เนื่องด้วยเพราะทำเลที่ตั้งนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่น ๆ ทั้งระยะทาง การเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก โดยที่ในส่วนของทำเลนั้น เราจะแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ทั้ง
- ที่ตั้ง
- CBD หรือ ในเขตกลางเมือง
- โดยที่ในทำเลนี้นั้นจะเป็นทำเลที่มีความเจริญของเศรษฐกิจ การเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้ที่นี่กลายเป็นทำเลทองและเป็นที่หมายตาของใครหลาย ๆ คน
- เขตกึ่งชานเมือง
- ในทำเลนี้จะเป็นทำเลที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชานเมืองและในเมือง โดยที่ทำเลนี้จะมีราคาที่ถูกลงมา และคละไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า สิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงโรงเรียนและโรงพยาบาล อีกทั้งยังไม่ได้วุ่นวายเท่าในเมืองด้วย
- เขตชานเมือง
- ในส่วนของที่นี่นั้นจะเด่นเรื่องความสงบและผ่อนคลาย ได้พื้นที่ของอสังหา ฯ ที่มากกว่าในเมือง อีกทั้งราคาของที่ดินยังถูกกว่าที่อื่นอีกด้วย ทำเลบริเวณนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว
- CBD หรือ ในเขตกลางเมือง
การเดินทาง
เรื่องของการเดินทางนั้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราเองก็ต้องนึกถึง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีรถยนต์ส่วนตัวนั่นเอง ดังนั้น คอนโดติดกับรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ จึงได้รับความนิยมจาก First Jobber มาก ๆ เพราะว่าเดินทางง่าย สะดวก ไม่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อและผ่อนรถยนต์เพิ่มเติม ทำให้สามารถจัดการค่าใช้จ่ายได้ด้วยนั่นเอง
ไลฟ์สไตล์
หากพูดถึงที่อยู่อาศัย ไลฟ์สไตล์ ในการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะว่าหากที่อยู่อาศัยของเรานั้นสอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิต ก็จะทำให้เรารู้สึกสบายใจและคอมฟอร์ทกับสถานที่นั้นมาก ๆ เช่นกัน เช่น ใครที่ชอบสวนสาธารณะ ก็อาจจะหาคอนโดที่ไม่ได้ใกล้จากสวนสาธารณะ ชอบความเงียบสงบ ก็อาจจะหาคอนโด Low-Rise ดี ๆ เป็นต้น
ไปดูคอนโดสถานที่จริง
สิ่งสุดท้ายที่ห้ามพลาด นั่นก็คือ การไปดูสถานที่จริง เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าหลาย ๆ คอนโดนั้นเราอาจจะคิดไว้ว่าที่นี่สวยมาก ๆ แต่พอไปถึงจริงก็อาจจะไม่ได้ตรงใจกับที่เราคาดหวัง 100% แล้วเมื่อเราซื้อไปแล้ว เราอาจจะต้องมานั่งคิดใหม่ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย จริงไหม?

การที่เราไปดูสถานที่จริงนั้น ทำให้เราสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ในโครงการได้ชัดเจนขึ้น ทั้ง Facilities ทั้งหมด สภาพแวดล้อมในอาคาร ทำเล ดีไซน์ ขนาดห้อง รวมไปถึงเรื่องการเดินทางอีกด้วย เท่านี้ยังไม่พอนะ การไปดูสถานที่จริงอาจจะทำให้เราสามารถรู้รายละเอียดที่ไม่ทราบมาก่อน และอาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้ได้เมื่อไปเท่านั้น ทั้งความหนาของผนังห้อง ห้องนั้นเก็บเสียงไหม ภายในตกแต่งแบบไหน เป็นต้น
อีกทั้งเรายังสามารถถามเรื่องค่าใช้จ่ายและราคาต่าง ๆ กับโครงการได้โดยตรง ทั้งราคาค่าส่วนกลาง ค่ากองทุนที่ต้องจ่ายในทุก ๆ เดือน ไปจนถึงเรื่องค่าทำสัญญาจองที่แต่ละโครงการนั้นจะมีไม่เหมือนกัน
หลาย ๆ คนนั้นอาจจะคิดว่าคอนโดนี้สวยแล้ว น่าซื้อ แล้วจองเลยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ไปดูโครงการก่อน ซึ่งก็อาจจะทำให้เราเสียโอกาสในการหาสถานที่ที่เหมาะกับเราก็ได้ ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำเป็นอย่างสุดท้ายและห้ามพลาด คือการไปดูสถานที่จริงนั่นเอง
สรุปส่งท้าย
จะเห็นได้เลยว่าปัจจัยในการเลือกคอนโดของเด็กจบใหม่นั้น มีหลากหลายปัจจัยมาก ๆ ไม่เพียงแค่รายละเอียดตัวโครงการ และค่าใช้จ่ายเท่านั้น ทำให้เรา ๆ เหล่า First Jobber นั้นต้องคิดพิจารณามากขึ้น เพื่อที่จะสามารถควบคุมเรื่องของค่าใช้จ่ายในอนาคตได้มากขึ้น อีกทั้งการที่เราค่อย ๆ คิดพิจารณานั้นจะทำให้เราได้ข้อมูลของทุกอย่างที่ครบถ้วน และสามารถเลือกโครงการที่ใช่ น่าอยู่ และถูกใจได้มากขึ้นอีกด้วย
แต่ถ้าใครที่ยังลังเล ไม่รู้จะหาคอนโดแบบไหน ทำเลอะไร และราคาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม สามารถทักมาปรึกษา PropertyScout ได้เลยนะคะ เรามีผู้เชี่ยวชาญมากความสามารถที่จะช่วยให้เราหาที่พักที่ถูกใจได้นั่นเอง
หากท่านสนใจอสังหาริมทรัพย์ ราคาไม่แพง หรือต้องการคำปรึกษา
สามารถติดต่อ PropertyScout ได้เลย
FAQs
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique.
Explore More Topics
Free real estate resources and tips on how to capitalise