5 ประเภทการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้!

Author
by
At
November 18, 2022
5 ประเภทการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้! 5 ประเภทการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้!
5 ประเภทการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้!
รู้จักประเภทการลงทุนสรุปส่งท้าย

จะเริ่มลงทุนทั้งทีต้องรู้ เตรียมจดไปใช้ได้เลย

สวัสดีค่า PropertyScout ขอพานักลงทุนมือใหม่มารู้จักกับ 5 ประเภทการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่นิยมกันมาก ๆ ในปัจจุบัน ที่รวมทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และอื่น ๆ ในประเภทเดียวกันอีกมากมาย เพื่อเตรียมพร้อมทั้งเวลา แผนการลงทุน และสภาพทางการเงิน เพื่อที่จะได้ทำทุกอย่างให้ราบรื่นและคล่องแคล่ว จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน!

5 ประเภทการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้!
5 ประเภทการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้!

รู้จักประเภทการลงทุน

ปล่อยเช่ารายเดือน

การลงทุนประเภทแรกที่ทำได้ง่ายที่สุดก็คือ การปล่อยเช่า เพราะเป็นการลงทุนที่สามารถสร้างรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสามารถเป็น Passive Income ในทุกเดือนได้เลย ซึ่งการลงทุนในประเภทนี้อาจจะต้องมีเงินเก็บในการซื้ออสังหา ฯ ก่อนครั้งแรก เพราะการที่เราสามารถซื้อในครั้งเดียวได้เลยนั้น จะดีกว่าการที่เราต้องมาซื้อผ่อนมาก ๆ

โดยห้องที่ปล่อยเช่านั้น ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางตกแต่งพร้อมอยู่ เพราะกลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่นั้นจะต้องการพร้อมที่จะเข้าอยู่เลย ไม่ต้องการมาเสียเวลาตกแต่งเพิ่มเติม ดังนั้น ผู้ที่ลงทุนปล่อยเช่าจะต้องมีการตกแต่งมาก่อน ซึ่งทำให้เราต้องประมาณการณ์งบประมาณในส่วนนี้ด้วยนั่นเอง

ปัจจัยที่ควรพิจารณา

  • ทำเลที่อยู่
  • ความเหมาะสมของอสังหา ฯ
  • ความคุ้มค่า

ผลตอบแทนในการลงทุน (Yield) นั้น เป็นค่าตอบแทนที่เราสามารถคำนวณได้เพื่อเปรียบเทียบความเป็นไปได้ของการตั้งราคาค่าเช่า ที่สามารถจูงใจผู้เช่าได้ ยิ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ราคาเช่าจะสูงตามด้วย

(ค่าเช่า*12เดือน/ราคาที่ซื้อ)*100
สูตรคำนวณ Yield

โอกาสที่จะได้ : เราจะได้เงินเป็นลักษณะของ Passive Income หรือเป็นรายเดือนโดยลงทุนเพียงครั้งเดียวนั่นเอง ซึ่งราคาจะแตกต่างไปตามทำเลต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น

  • ทำเล CBD หรือทำเลธุรกิจ - สาทร, ทองหล่อ, เอกมัย จะมีราคาซื้อพื้นที่อยู่ที่ 500,000 - 870,000 ตร.ม. เผลอ ๆ บางทีสูงถึง 1,000,000 เลยทีเดียว

ปล่อยเช่ารายวัน

สำหรับการลงทุนประเภทนึงที่มี Passive Income เหมือนกันแต่จะเน้นเจาะกลุ่มไปที่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการมาพักอาศัยรายวัน แต่ธุรกิจแบบนี้อาจจะจำเป็นต้องหาที่พักในทำเลดี ๆ เช่น กลางเมือง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแอเรียท่องเที่ยว เช่น อารีย์ พญาไท สยาม สาทร เป็นต้น หากเป็นในต่างจังหวัด ก็จะเป็นจังหวัดที่ชุกชุมไปด้วยนักท่องเที่ยว เช่น พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น

เพราะทำเลนี้นั้นเป็นอีกหนึ่งทำเลดีมานด์สูงมาก ๆ ในหมู่นักท่องเที่ยว ดังนั้น ผู้ลงทุนหลาย ๆ คนจึงเลือกที่จะหาตึกที่ไม่ได้ใหญ่มากในทำเลนั้นเพื่อทำเป็นอาคารพักผ่อนโดยเฉพาะประเภท Hostel นั่นเอง เพราะมีราคาที่ย่อมเยากว่าโรงแรมนั่นเอง


ความรู้นอกห้อง! : ในส่วนของการจะปล่อยให้ทำเป็น Hostel นั้น จะมีการดำเนินการตามกฏหมายอยู่นะคะ ซึ่งในประเทศไทยนั้น จะมีกฎหมายกำหนดให้อาคารแต่ละอาคารที่จะทำการปรับเป็นอาคารพักอาศัยแบบโรงแรมนั้น จะต้องมีใบอนุญาตการเปิดโรงแรม โดยที่ใบอนุญาตนี้ จะเช็กไปถึงเรื่องของโครงสร้าง จำนวนห้อง และประเภทของการเปิดโรงแรม ซึ่งไม่เพียงแต่โรงแรมเท่านั้นที่มี บางคอนโดก็มีใบอนุญาตประเภทนี้เหมือนกัน

เงื่อนไขการตรวจสอบสถานที่

  • อาคาร/สถานที่ตั้ง
  • การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก
  • ห้องพัก
  • สถานที่จอดรถ
  • ระบบความปลอดภัย
  • ข้อกำหนดเกี่ยวกับสถานบริการ

โอกาสที่จะได้ : รายได้ในแต่ละวันนั้นจะอยู่เฉลี่ยที่ 500 บาทขึ้นไปตามทำเล ยิ่งเดินทางง่าย ราคาอาจจะสามารถไปแตะอยู่ที่ 800 บาทต่อวันได้เลยทีเดียว ยิ่งอยู่ในทำเลท่องเที่ยวแล้ว รายได้ที่จะได้รับนั้น จะคุ้มค่ากว่าราคาที่ต้องจ่ายแน่นอน

ปล่อยขายแบบเก็งกำไร

อีกหนึ่งประเภทการลงทุนที่ใคร ๆ ก็อยากทำ เพราะลงทุนครั้งเดียวแต่ได้เงินมหาศาลโดยที่ไม่ต้องรอเป็นรายเดือน อีกทั้งในบางกรณียังใช้เงินลงทุนไม่เยอะอีกด้วย เหมาะกับคนที่ต้องการเงินก้อนเดียวแต่เยอะมาก ๆ แต่การลงทุนแบบนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับผู้ที่ลงทุนใหม่ ๆ นั่นเอง


สิ่งที่ต้องเตรียมอย่างแรกก็คือ ใบจอง นั่นเอง ซึ่งใบจองก็คือ ตัวเอกสารที่เป็นหลักฐานในการแสดงถึงความเป็นเจ้าของของห้องนั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นการแสดงการจองสิทธิ์คอนโดให้กับผู้ซื้อ โดยปกตินั้น การซื้อใบจองจะต้องวางเงินเพื่อเป็นหลักประกัน ซึ่งภายในจะต้องมีรายละเอียดข้อตกลงระหว่างผู้จองกับผู้รับจองชัดเจน

โดยปกตินั้น ใบจองคอนโด จะได้ตั้งแต่เปิดโครงการจองตั้งแต่วันแรก ส่วนใบจองนั้นจะนิยมขายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน เพราะจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ซื้อนั่นเอง ส่วนเงินการซื้อใบจองจะอยู่ที่ราว ๆ 50,000 - 100,000 บาทตามแต่ละโครงการนั่นเอง


การขายใบจองคือ

คือการขายโอนสิทธิในการครอบครองหรือเป็นเจ้าของของกรรมสิทธิ์ในยูนิตนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องหรือบ้าน เมื่อมีการขายดาวน์หรือขายโอนสิทธิเกิดขึ้น ทางโครงการจะออกเอกสารโอนสิทธิ เพื่อรับรองว่าสิทธิในการครอบครองได้เปลี่ยนจากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่ง โดยยึดเงื่อนไขต่างๆในสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิม ที่ผู้ซื้อคนแรกได้ทำไว้


การซื้อขายใบจองนั้น มีวิธีการดังนี้

ยอดจ่ายวันเปลี่ยนชื่อสัญญา = ราคาที่ผู้ซื้อเดิมจ่ายโครงการไปแล้ว+ค่าส่วนต่างกำไรที่ผู้ซื้อเดิมบวกเพิ่ม

โอกาสที่จะได้ : การขายเก็งกำไรนั้น ปกติจะมีการขายให้มากกว่าราคาตอนซื้อประมาณ 2 เท่าตัวของคอนโดขึ้นไป เป็นเงินก้อนใหญ่ที่ได้ทีเดียว ไม่ต้องรอเป็นรายเดือน เพราะหลาย ๆ คนที่ลงทุนเลือกที่จะซื้อคอนโดตอน Pre-Sale หรือตอนจอง ดังนั้น ราคาที่ได้จะมีราคาที่ถูกกว่าตอนขายจริงนั่นเอง

ลงทุนรีโนเวทเพิ่มมูลค่า

การลงทุนอีกแบบที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึงนั่นก็คือ การลงทุนแบบรีโนเวท แม้จะเป็นการลงทุนที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการแต่งห้อง แต่ทว่าเวลาขายกลับทำกำไรได้มากกว่าการขายห้องปกติด้วยซ้ำ อีกทั้งการลงทุนแบบรีโนเวทนี้ ไม่จำเป็นต้องซื้อจากโครงการโดยตรง แต่สามารถซื้อมือสองที่ขายทอดตามตลาดได้อีกด้วย ซึ่งราคาก็จะถูกกว่าในบางกรณีนั่นเอง

เหตุผลที่การลงทุนแบบนี้ทำกำไรได้ ก็เป็นเพราะว่า ในปัจจุบันนี้ หลาย ๆ ผู้อยู่อาศัยเลือกที่จะอยู่ห้องที่เป็นห้องที่ตกแต่งและรีโนเวทแล้ว พร้อมอยู่ อีกทั้งยังมีหลากหลายสไตล์ให้ได้เลือกอีกด้วย อีกทั้งการที่นำมารีโนเวทแล้วขายต่อนั้น ยังสร้างกำไรให้ได้มากกว่าราคาขายด้วยนั่นเอง

กำไรที่ได้

กำไรจะเพิ่มมาอยู่ที่ 10 - 20% ของราคาอสังหา ฯ

โอกาสที่จะได้ : กำไรที่ได้จะบวกจากราคาตอนซื้ออสังหา ฯ ชนิดนั้นมาไปประมาณ 10 - 20% ทำให้ราคาขายจะสูง เหมาะกับการเก็งกำไร เช่น ถ้าซื้อห้องมาประมาณ 8 ล้านแล้วนำมารีโนเวท บวกค่ารีโนเวทไปอีกประมาณ 2 ล้าน ราคาขายจะอยู่ที่ 10 ล้านบาทถ้วน ซึ่ง กำไรที่เพิ่มมาก็จะอยู่ที่ราว ๆ 1 ล้านบาทนั่นเอง

ลงกองทุนอสังหา ฯ

การลงทุนประเภทสุดท้ายนั้น จะเป็นการลงทุนที่อาจจะเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ไม่ได้อยากลงมาเล่นเอง 100% หรือผู้ที่ไม่อยากหรือไม่มั่นใจว่าการลงทุนของเรานั้นจะได้กำไร การลงทุนกับกองทุนนั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ และสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

เพราะการลงทุนกับกองทุนนั้น จะเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและสามารถลงทุนเป็นระยะยาวได้ อีกทั้งกองทุนยังมีหลายประเภทอีกด้วย เหมาะกับผู้คนหลาย ๆ แบบหลาย ๆ สไตล์มาก ๆ เลยทีเดียว บางกองทุนก็จะต้องเล่นเอง บางกองทุนก็มีผู้จัดการให้ด้วย

  • กองทุนรวมอสังหา ฯ : เป็นกองทุนปิด หรือเป็นกองทุนประเภทเปิดให้ซื้อครั้งเดียว และไม่รับซื้อคืน โดยจะมีการระดมทุนจากประชาชน ด้วยการขายหน่วยการลงทุน และนำเงินไปลงทุนในอสังหา
  • กองทุนหลีด (REIT - Real Estate Investment Trust) : เป็นกองทุนที่จะเข้าไปบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง แล้วก็นำผลกำไรที่ได้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุน

ปัจจุบันกองทุนรวมอสังหา ฯ หรือ Property Fund หลังจากกองทุนอสังหา ฯ บริหารและได้รับเงินจากการลงทุนแล้ว กองทุนอสังหา ฯ จะดำเนินการหักค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมการบริหารก่อนนำรายได้แบ่งเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุน

กองทุนรวมอสังหา ฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 6-10%

โอกาสที่จะได้ : โอกาสที่จะได้นั้น เงินปันผลที่จะได้จะอยู่ที่ราว ๆ 6-10% อีกทั้งยังเป็นการลงทุนระยะยาวและได้ปันผลเรื่อย ๆ แม้จะไม่ได้เยอะหรือเป็นก้อนเดียวเท่ากับการลงทุนประเภทอื่น ๆ แต่การลงทุนประเภทนี้ก็ทำให้เราได้เงินเรื่อย ๆ เช่นกัน

สรุปส่งท้าย

จะเห็นได้เลยว่า การลงทุนนั้น มีมากมายหลายแบบนอกจากการลงทุนเพื่อปล่อยเช่า หรือขายเท่านั้น แถมการลงทุนแต่ละแบบยังได้กำไรและผลตอบแทนที่ต่างกันไปตามแต่ความต้องการของผู้ลงทุน บางอย่างได้เป็นก้อนใหญ่ แต่ได้ครั้งเดียว บางประเภทนั้นแม้จะได้น้อยแต่ก็สามารถเก็งกำไรและได้รับ Passive Income ในทุก ๆ เดือนได้

ทาง PropertyScout หวังว่า บทความของเราจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้หาคอนโดที่ถูกใจไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม สามารถบอกเราได้เลยนะ ไว้เจอกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ


ถ้ามีคำถาม ข้อสงสัยอื่นๆเพิ่มเติม เกี่ยวกับการฝากซื้อฝากขาย หรือซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ หรืออยากหาที่พักโดนใจ ราคากันเอง แถมตรงปก ติดต่อ PropertyScout ได้เลย! ทางทีมงานยินดีช่วยเหลือและตอบทุกข้อสงสัยเลยค่า