Pre-Approve ก่อนกู้สินเชื่อบ้าน มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
หลายคนคงทราบดันดีว่า การซื้อบ้านหรือคอนโดด้วยการขอสินเชื่อจากธนาคาร เราซึ่งเป็นผู้ขอสินเชื่อจำเป็นต้องชำระค่าจอง ค่าการทำสัญญา และค่าดาวน์กับทางโครงการหรือผู้ขายก่อน ถึงจะสามารถยื่นเอกสารเพื่อขอสินเชื่อกู้บ้านกับธนาคารได้
แต่หากผลออกมาคือกู้ไม่ผ่าน ก็จะสูญเสียค่าจองและค่าทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นอย่างน้อย ๆ หลายหมื่นบาทที่ได้จ่ายไป แต่เหตุการณ์นี้สามารถป้องกันได้ โดยก่อนที่จะตัดสินใจจองและเซ็นสัญญานั้น เราสามารถใช้บริการ Pre-Approve เพื่อช่วยตรวจสอบในเบื้องต้นได้ว่า จะกู้สินเชื่อผ่านหรือไม่ ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริการดังกล่าวว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง และต้องเตรียมการอย่างไรบ้างได้ในบทความนี้เลย
Pre-Approve คืออะไร?
'Pre-Approve สินเชื่อบ้าน' หรือ 'การยื่นประเมินสินเชื่อบ้านในเบื้องต้น' เป็นการขอตรวจสอบสถานภาพทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ โดยธนาคารพิจารณาจากราคาซื้อขายบ้านหรือคอนโดที่ผู้ขอสินเชื่อแจ้ง ประกอบกับ รายได้ รายจ่าย และเครดิตหรือความน่าเชื่อถือของผู้ขอสินเชื่อด้วย อย่างเช่น ติดเครดิตบูโร หรือไม่ ชำระค่าบัตรเครดิตครบถ้วนตรงเวลาหรือไม่
ซึ่งการทำ Pre-Approve นั้น จะต้องทำในขั้นตอนก่อนการจองบ้านหรือคอนโด การทำสัญญาจะซื้อจะขาย และการชำระค่าดาวน์ แต่การขอสินเชื่อนั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องทำหลังจากดำเนินการสิ่งเหล่านี้แล้ว ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า เกิดผลดีกับผู้ขอสินเชื่ออย่างแน่นอน เพราะว่า การเซ็นสัญญา ชำระค่าจอง จ่ายค่าดาวน์กับทางโครงการไปแล้ว หากยื่นกู้จริงผลออกมาคือกู้ไม่ผ่าน ก็จะสูญเสียค่าจองและค่าทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหลักหลายหมื่นบาทกันเลยทีเดียว
ทีนี้หาก Pre-Approve ผ่าน ก็จะหมายความว่า ผู้ขอสินเชื่อมีโอกาสที่จะขอสินเชื่อจริงผ่าน แต่หากผลออกมาตรงกันข้าม ก็ทำให้รู้ตัวทันว่ายังไม่ควรตัดสินใจจองหรือซื้อบ้านกับทางผู้ขายนั่นเอง
Pre-Approve มีความแตกต่างจากการกู้สินเชื่อจริงอย่างไร?
การ Pre-Approve แทบจะเหมือนกับการกู้จริงทุกประการ ซึ่งต้องคุยกับทางธนาคาร และนำเอกสารต่างๆไปยื่นเพื่อให้ธนาคารพิจารณา โดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใด ๆ เลย แต่ต้องบอกก่อนว่าผลของการ Pre-Approve อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าผลการยื่นกู้จริงก็ได้ เพราะธนาคารส่วนใหญ่จะคงสิทธิผลการ Pre-Approve ไว้ประมาณ 3 เดือน แต่หากต้องการยื่นกู้จริงก็สามารถยื่นหลักฐานประกอบต่าง ๆ หรือบางธนาคารอาจจะสามารถใช้เอกสารเดิมได้เลยเพียงแค่ส่งใบสลิปการจ่ายค่าทำเนียมการประเมินก็เป็นอันเสร็จสิ้น ทำให้การกู้จริงสะดวกมากยิ่งขึ้น
รายละเอียดด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำ Pre-Approve
ราคาที่นำมาใช้ในการพิจารณา Pre-Approve
ราคาที่นำมาใช้ในการพิจารณาก็คือ ราคาซื้อขายบ้านที่ผู้ขอ Pre-approve แจ้ง แต่การขอสินเชื่อจะใช้ราคาจะซื้อจะขาย (ราคาจริง) พร้อมข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับบ้านหรือคอนโด ซึ่งธนาคารจะนำไปใช้ประกอบการคำนวณหาราคาประเมินที่จะนำมาใช้พิจารณาการขอสินเชื่ออีกที
ค่าใช้จ่ายในการขอ Pre-Approve
ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่มีค่าธรรมเนียมในการขอสินเชื่อ เว้นแต่ธนาคารจะมีโปรโมชั่นยกเว้นค่าธรรมเนียมนั้น
ระยะเวลาในการพิจารณา Pre-Approve
ไม่เกิน 5 วันทำการ
เอกสารที่ใช้ในการขอ Pre-Approve
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนารายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (Statement)
- สำหรับพนักงานประจำ ใช้สำเนาสลิปเงินเดือน (Payslip)
- สำเนาหนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่ายย้อนหลัง 6 เดือนและหลักฐานการเสียภาษีของปีล่าสุดสำหรับฟรีแลนซ์
- ใบสมัครขอสินเชื่อของธนาคาร
- ใบยินยอมให้ตรวจสอบเครดิตบูโรของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม หาก Pre-Approve ผ่านแล้วต้องการขอสินเชื่อจริง ธนาคารจะใช้เอกสารต่าง ๆ ในการขอสินเชื่อเหมือนกับเอกสารที่ใช้ในการขอ Pre-approve เพียงแต่ผู้ขอสินเชื่อต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่ สัญญาจะซื้อจะขาย แผนที่บ้านหรือคอนโด และอาจขอเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกแล้วแต่กรณีและเงื่อนไขของแต่ละธนาคารด้วย
ประโยชน์ในการขอ Pre-Approve
- ทำให้ทราบว่ามีความสามารถขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในวงเงินประมาณนี้หรือไม่ จึงช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นทั้งในเรื่องการซื้อ การขอวงเงินสินเชื่อ และการเลือกธนาคารที่จะยื่นขอสินเชื่อ
- ช่วยป้องกันไม่ให้สูญเสียเงินจากการผิดสัญญาจะซื้อจะขายในกรณีขอสินเชื่อไม่ผ่าน
- ช่วยป้องกันไม่ให้เสียประวัติและโอกาสในขอสินเชื่อ เพราะหากขอสินเชื่อจริงไม่ผ่าน ต้องรออีก 1-2 ปี จึงจะสามารถยื่นขอสินเชื่อใหม่ได้
- แม้ Pre-approve ไม่ผ่าน ก็ช่วยให้ผู้ขอสินเชื่อรู้ตัวว่า ต้องปรับปรุงอะไรเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ เช่น หากพบว่าความสามารถในการผ่อนไม่เพียงพอ ก็สามารถแก้ไขได้โดยจ่ายเงินดาวน์มากขึ้นเพื่อลดวงเงินในการยื่นกู้สินเชื่อหรือหาผู้กู้ร่วม หรือหากติดเครดิตบูโร ก็ไม่ควรยื่นขอสินเชื่ออย่างน้อย 2 ปี และในระหว่างนี้ ก็ควรชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นที่มีให้ครบและตรงเวลาเพื่อสร้างประวัติเครดิตที่ดีเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการขอ Pre-Approve เช่น วงเงินสินเชื่อและค่าผ่อนต่อเดือน ในบางครั้งอาจแตกต่างจากผลการขอสินเชื่อจริงได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาจมีกรณีที่ Pre-Approve ไม่ผ่าน แต่ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อได้ ขื้นอยู่กับและการพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ความชัดเจนของที่มารายได้ ราคาประเมินที่อยู่อาศัยที่จะซื้อ
สรุปส่งท้าย
สรุปได้ว่าการขอ Pre-Approve เป็นวิธีการช่วยตรวจสอบความพร้อม เพื่อพิจารณาว่าจะขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือไม่ และจะขอกับธนาคารไหน อย่างไร ซึ่งปัจจัยหลักที่จะทำให้ได้รับอนุมัติสินเชื่อก็คือ กำลังทรัพย์และความสามารถด้านบริหารจัดการเงินอย่างเหมาะสม ให้อยู่ในระดับที่ทำให้ธนาคารเชื่อมั่นว่าสามารถชำระหนี้ได้อย่างไม่มีปัญหานั่นเอง
นอกจากนั้นการ Pre Approve ยังทำให้ตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ได้เลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสม รวมไปถึงได้พิจารณาถึงความพร้อมและความสามารถในการผ่อนชำระแบบคร่าว ๆ ให้มีอำนาจไปต่อรองกับโครงการต่าง ๆ และทำให้การยื่นขอสินเชื่อจริงมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพราะหากไม่ยื่น Pre-Approve ก่อน แล้วยื่นเอกสารขอกู้กับธนาคารเลย แต่ปรากฎว่าขอสินเชื่อไม่ผ่านจะทำให้เสียทั้งเงินและเวลา รวมทั้งเสียประวัติในการยื่นขอสินเชื่ออีกด้วย
PropertyScout แหล่งรวมอสังหา ฯ ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
หาทรัพย์ที่ชอบ ในราคาที่ใช่ ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว