In Short
Advice

ใครที่กำลังมีความคิดอยากซื้อคอนโดมิเนียมย่านใจกลางเมือง หรือสนใจในด้านอสังหาริมทรัพย์ อาจจะคุ้นกับคำว่า "Leasehold" กับ "Freehold" กันบ้างแล้วใช่ไหมคะ? แล้ว 2 คำนี้มีความหมายว่าอย่างไร และต่างกันอย่างไร เราไปดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
Leasehold คืออะไร?
Leasehold คือการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว โดยไม่ได้กรรมสิทธ์ นั้นหมายถึงว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจะต้องคืนสิทธิ์ให้เจ้าของ หรือต่อสัญญาออกไปอีก การเช่าซื้อแบบนี้ส่วนใหญ่จะเหมาะกับกลุ่มนักลงทุน เนื่องจากว่าราคาจะถูกกว่า ใช้เงินต้นทุนต่ำกว่า แต่จะต้องยอมรับความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น หากเกิดการชำรุดเสียหายจากภัยพิบัติ หรือถูกเวนคืนที่ในช่วงที่ยังติดสัญญาเช่าอยู่ คุณจะไม่มีสิทธิ์ได้ค่าชดเชยในส่วนของที่ดินและอาคาร
Freehold คืออะไร?
Freehold คือการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แบบขายขาด โดยผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์ไปครอบครองอย่างเต็มตัว และสามารถปรับปรุง ซ่อมแซม ตกแต่งห้อง เพื่อลงทุนทำกำไรต่อได้ และถ้าหากเกิดภัยพิบัติต่างๆ หรือถูกเวนคืนขายที่ดิน ผู้ซื้อจะได้รับค่าชดเชยตามสัดส่วนในโฉนดที่ดิน รวมถึงยังมีโอกาสกู้กับธนาคารได้วงเงินสูงสุด 100% อีกด้วย และถึงแม้เขาจะบอกกันว่าต้องใช้เงินลงทุนในการซื้อสูง แต่อย่าลืมว่าผู้ซื้อแบบ Freehold มีอิสระในการทำกำไรได้ในหลายรูปแบบ ทั้งให้เช่า หรือขายต่อก็สามารถทำได้ ที่สำคัญยังกลายเป็นมรดกตกทอดให้แก่ลูกหลานได้อีกด้วย
ระหว่าง Leasehold กับ Freehold เหมาะกับใคร
หากให้เลือกว่าแบบไหนดีกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการและจุดประสงค์ในการลงทุนของแต่ละบุคคล
หากคุณต้องการทำกำไรเยอะๆ ในระยะยาว Freehold อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีมากกว่า เพราะการซื้อขายขาด ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี อสังหาริมทรัพย์นั้นก็ยังเป็นของคุณ ซึ่งคุณสามารถหาวิธีทำกำไรเพิ่มได้อีกหลากหลาย ทั้งขายต่อและปล่อยเช่า ที่สำคัญกี่ปีผ่านไปที่ดินมีแต่จะราคาสูงขึ้น ยิ่งเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหรือเขตเมืองชั้นใน เช่น สาทร สีลม รับรองเลยว่าซื้อขาดวันนี้ไป เพียงไม่กี่ปีราคาก็เติบโตไม่มีหยุด
สำหรับ Leasehold เหมาะกับคนที่ต้องการจำกัดงบประมาณในกระเป๋า และเน้นมองหาคอนโดมิเนียมทำเลใจกลางเมือง เดินทางง่าย ต้องการไว้อยู่เองในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ต้องการส่งต่อเป็นมรดกให้กับคนอื่นๆ หรือไม่ต้องการสร้างภาระให้กับลูกหลาน อีกทั้งยังผ่อนได้ในราคาที่ต่ำกว่า
ข้อดี และข้อเสียของ Leasehold
ข้อดี
- ราคาถูกกว่าคอนโดมิเนียม Freehold อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าในทำเล และระดับของโครงการที่ใกล้เคียงกัน คอนโดมิเนียมแบบ Leasehold จะมีราคาที่ต่ำกว่าคอนโดฯ Freehold ประมาณ 30-40 %
- ทำเลส่วนใหญ่อยู่ใจกลางเมืองราคาแพง เดินทางสะดวกอยู่ในแหล่ง CBD (Central Business District) ของกรุงเทพมหานคร เช่น ราชดำริ, หลังสวน, เยาวราช เป็นต้น
- ชาวต่างชาติสามารถถือครองได้ไม่จำกัดสัดส่วน ทำให้มีสภาพคล่องในการเปลี่ยนมือมากขึ้น
- มักมีการบริหารจากผู้บริหารโครงการมืออาชีพ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาคารทรุดโทรมเนื่องจากเจ้าของอสังหาฯนั้นๆจะมีการดูแลสมบัติของตัวเอง เมื่อสิ้นสุดสัญญา ก็ย่อมต้องการอาคารที่ไม่ทรุดโทรมนั่นเองค่ะ
ข้อเสีย
- ไม่ได้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ ได้เพียงสิทธิ์เช่า โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 30 ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีก 30 ปี หากเกิดการชำรุดเสียหายจากภัยพิบัติ หรือถูกเวนคืนที่ดินจะไม่ได้ค่าชดเชยในส่วนของที่ดินและอาคาร
- เมื่อหมดระยะเวลาสัญญาแล้ว ถือว่าไม่มีสิทธิ์ในอสังหาฯนี้แล้วค่ะ ไม่สามารถขายได้อีกต่อไป
ข้อดี และข้อเสียของ Freehold
ข้อดี
- มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ สามารถถือครองได้ไม่มีระยะเวลากำหนด สามารถปรับปรุง ซ่อมแซม ตกแต่งห้องได้ จะเก็บไว้เป็นสมบัติส่งต่อให้ลูก หลานก็ย่อมได้ค่ะ
- มูลค่าคอนโดฯมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามราคาที่ดินที่สูงขึ้นในอนาคต จึงสามารถทำผลตอบแทนได้จากทั้งค่าเช่า และ Capital Gain หรืออยู่เองก็สามารถขายเพื่อได้เงินกลับมาไม่มีระยะเวลากำหนด
- มีโอกาสกู้กับธนาคารได้วงเงินสูงสุด 100% หากคอนโดเกิดภัยพิบัติต่างๆ หรือถูกเวนคืนขายที่ดิน ผู้ซื้อก็ได้ค่าชดเชยตามสัดส่วนในโฉนดที่ดินค่ะ
ข้อเสีย
- อาจเกิดความทรุดโทรม เนื่องจากเป็นการขายขาดถ้าซื้อกับผู้พัฒนาโครงการที่ไม่น่าเชื่อถืออาจจะมีปัญหาตามมาภายหลัง การบริหารจัดการอาคารขึ้นอยู่กับคณะกรรมการลูกบ้าน ถ้าคนที่ไม่ใช้พื้นที่ส่วนกลางอาจจะลงความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องดูแล ทำให้เกิดความทรุดโทรมขึ้นได้
- ชาวต่างชาติสามารถถือครองได้ไม่เกิน 49 % ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในอาคาร
หากมีคำถาม หรือข้อสงสัยอื่นๆเพิ่มเติม เกี่ยวกับการฝากซื้อฝากขาย หรือซื้อขายเช่าอสังหาริมทรัพย์ สามารถติดต่อสอบถามทีม PropertyScout โดย คลิกที่นี่ ทางทีมงานยินดีช่วยเหลือและตอบทุกข้อสงสัยค่ะ
FAQs
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique.
Explore More Topics
Free real estate resources and tips on how to capitalise