โหมด DRY vs COOL บนรีโมทแอร์ ควรเลือกใช้โหมดไหน? และมีโหมดอะไรอีกบ้าง?
สวัสดีครับ เชื่อว่าหลายคนคงมีข้อสัยว่าเวลาเปิดแอร์แต่ละครั้ง ทำไมเปิดแอร์แล้วไม่เย็นทั้งที่ปรับอุณหภูมิเย็นสุด แล้วโหมดแอร์ 'DRY' กับ 'COOL' มีความแตกต่างกันอย่างไร? และทำไมโหมดแอร์ต้องมีอีกตั้งเยอะแยะหลายโหมด? แต่ละโหมดมีการทำงานอย่างไรบ้าง? ที่แน่ ๆ เครื่องปรับอากาศ หรือ แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยคลายร้อนให้กับทุกคนในบ้าน ส่วนมากจะถูกเปิดใช้งานอยู่เป็นประจำทุกวัน ดังนั้นการที่เรารู้ว่าแต่ละโหมดสามารถทำอะไรได้บ้าง และเข้าใจถึงหลักการ กลไกการทำงานในแต่ละโหมด ก็จะทำให้เราใช้งานแอร์ได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยยืดอายุของแอร์อีกด้วย ตามมาดูพร้อม ๆ กันกับ PropertyScout ได้บทความนี้เลยครับ
โหมดแอร์มีแบบไหนบ้าง?
แอร์ หรือ เครื่องปรับอากาศแต่ละรุ่นจะมีโหมดการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการที่เราจะใช้งานได้อย่างตรงตามความต้องการ ก็จะต้องเริ่มจากทำความเข้าใจการทำงานของแต่ละโหมดก่อนครับ ซึ่งในเครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่จะมีโหมดการทำงานอยู่ทั้งหมด 5 โหมดด้วยกันดังนี้ครับ
โหมด DRY (โหมดแห้ง/ควาบคุมควมชื้น)
โหมด DRY หรือ 'โหมดความคุมความชื้น' ผู้ใช้งานจะไม่สามารถปรับตั้งอุณหภูมิได้ เนื่องจากว่าอยู่ในเมื่ออยู่ในโหมดควบคุมความชื้นครับ และแอร์ก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องลดความชื้นในอากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศมีปริมาณความชื้นสูงที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ อย่างเช่นหน้าฝน หรือคนที่มีสุขภาพไม่ดีก็ควรใช้โหมดนี้ ซึ่งโหมด DRY จะมีความแตกต่างจาก โหมด COOL คือความเย็นจะไม่ฉ่ำเท่าครับ
กระบวนการทำงาน
- โหมด DRY ควบคุมความชื้นในอากาศโดยใช้การควบแน่นของความชื้นในอากาศที่เกิดขึ้นบนแผงทำความเย็น ทำให้สามารถดึงความชื้นภายในห้องมากลั่นตัวเป็นหยดน้ำไหลออกทางท่อน้ำทิ้งของเครื่องปรับอากาศได้มากขึ้นนั่นเองครับ ถึงแม้ว่าคอมเพรสเซอร์ที่อยู่นอกอาคารยังคงทำงานอยู่ แต่พัดลมที่อยู่ในชุดคอยล์เย็นอาจจะมีการทำงานสลับกับการหยุดทำงานเป็นช่วง ๆ เพื่อดึงความชื้นในอากาศให้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำครับ
ควรใช้ตอนไหน?
- ให้เราลองสังเกตได้เวลาที่ฝนตก แอร์มักจะไม่ค่อยเย็น และในบางครั้งเราอาจรู้สึกว่าอากาศไม่ค่อยมี รู้สึกอึดอัด ๆ ยังไงไม่รู้ ดังนั้นโหมด DRY จึงเป็นอีกโหมดที่สามารถช่วยในส่วนนี้ได้ครับ เพราะเป็นการเพิ่มความเย็นให้เฉพาะตัวแผงคอยล์ ให้เกิดการควบแน่นดักจับไอน้ำ รวมถึงเปิดพัดลมอ่อน ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเทมากขึ้น โหมดนี้จะประหยัดกว่าโหมด COOL และเราไม่สามารถปรับองศาในโหมดนี้ได้ครับ เพราะโดยส่วนมากแต่ละรุ่นจะตั้งองศาให้โหมดนี้ไม่เหมือนกัน บางรุ่นอาจเป็น 24 องศาเซลเซียส และบางรุ่นก็อาจจะเป็น 25 องศาเซลเซียส
โหมด COOL (โหมดทำความเย็น)
โหมด COOL หรือ โหมดทำความเย็น เป็นโหมดการทำงานที่เรานิยมใช้กันมากที่สุด เหมาะสำหรับการปรับอุณหภูมิได้ตามที่ต้องการครับ อีกทั้งยังสามารถปรับระดับความเร็วของพัดลมได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนขี้ร้อน อยากได้ห้องที่แอร์เย็นฉ่ำได้แบบทันใจ หรือคนที่ขี้หนาวก็สามารถปรับให้ห้องอุ่นสบายได้ครับ
กระบวนการทำงาน
- การทำงานของโหมดนี้ก็จะปรับอุณหภูมิตามที่เราตั้งค่า และเมื่อถึงจุดที่กำหนด ก็จะปิดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ลง เหลือไว้แค่ใบพัดลมดูดอากาศในเครื่องที่เปิดไว้อย่างต่อเนื่องครับ เพื่อให้อากาศมีการหมุนเวียน ถ้าอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย คือ ถ้าเราปรับอุณหภูมิไว้ที่ 26 องศา แอร์ของเราก็จะเพิ่มระดับอุณหภูมิขึ้นไปให้ถึงเท่านั้น เมื่ออุณหภูมิภายในห้องถึง 26 องศาเมื่อไหร่ คอมเพรสเซอร์ก็จะตัดการทำงานทันที เพื่อที่อุณหภูมิในห้องเราจะอยู่ที่ 26 องศา และจะสลับกลับมาทำงานเป็นระยะ ๆ เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิในห้องให้คงที่ครับ
ควรใช้ตอนไหน?
- เหมาะกับใช้ในห้องที่ไม่ควรมีการเข้าออกบ่อย ๆ เพื่อให้เครื่องได้รักษาระดับอุณหภูมิไว้อย่างต่อเนื่อง เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือในออฟฟิศสำนักงานครับ
โหมด AUTO (โหมดอัตโนมัติ)
โหมด AUTO หรือ โหมดอัตโนมัติ เป็นโหมดที่สะดวกต่อการใช้งาน ไม่ต้องปรับให้ยุ่งยาก โดยจะสลับโหมดการใช้งานเป็นโหมดอื่นๆ ตามสภาพแวดล้อมภายในห้องให้เราด้วยครับ ซึ่งเหมาะกับห้องที่มีคนอยู่หลายคนและมีการเดินเข้าเดินออก หรือใช้ในห้องที่อยู่เพียงคนเดียวก็ได้ อยากเย็นกายสบายใจแบบง่าย ๆ ก็แค่ตั้งเป็นโหมด AUTO ไว้แล้วกดสวิทช์เปิดแอร์ในเวลาที่ต้องการ เพียงแค่นี้อากาศภายในห้องก็เย็นสบายแล้วครับ
กระบวนการทำงาน
- ทำงานโดยปรับระดับทั้งตัวคอมเพรสเซอร์ และ ตัวพัดลม ให้อุณหภูมิไปถึงในจุดที่กำหนดไว้ครับ อธิบายให้เข้าใจโดยง่าย คือ เมื่อเราเปิดแอร์แล้ว คอมเพรสเซอร์จะเร่งการทำงาน และพัดลมแอร์จะหมุนอย่างเร็ว เพื่อให้ห้องของเราเย็นในขนาดกำลังที่พอเหมาะ และเมื่อห้องเย็นแล้วก็จะปรับไปที่ โหมด COOL หรือ DRY โดยอัตโนมัติครับ โดยตัวระบบที่ถูกตั้งโปรแกรมมาจะกำหนดอุณหภูมิและความเร็วพัดลมให้เอง โดยรับค่าอุณหภูมิห้องที่ตรวจพบได้ในตอนนั้นจากเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิครับ
ควรใช้ตอนไหน?
- ด้วยการที่เป็นโหมดการทำงานแบบอัตโนมัติอยู่แล้ว ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปตั้งค่าหรือปรับอะไรมากมายครับ เพียงแค่กดปุ่มเปิดแอร์ ทิ้งเอาไว้สัก 15 นาที แอร์ก็จะปรับอุณภูมิให้ห้องของเรามีอากาศที่เย็นสบาย ใช้งานได้ง่ายครับ โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่เข้าใจในการใช้รีโมทปรับโหมดการทำงานต่าง ๆ ของแอร์
โหมด FAN (โหมดพัดลม)
โหมด FAN หรือ โหมดพัดลม ทำงานเป็นพัดลมให้กับเรา แต่ไม่มีความเย็นออกมาครับ สามารถปรับความเร็วของพัดลมได้เท่านั้น โดยไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้
กระบวนการทำงาน
- การเปิดโหมดนี้เท่ากับปิดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เอาไว้ครับ โดยการทำงานของโหมดนี้จะปล่อยเพียงแค่ลมออกมาเท่านั้น และลมที่ปล่อยออกมาจะเป็นอุณหภูมิห้อง และไม่ได้มีความเย็นออกมาด้วยนั่นเอง
ควรใช้ตอนไหน?
- สำหรับใครที่กำลังเจอ ปัญหากลิ่นเหม็นอับที่ออกมาจากแอร์ ให้ลองใช้งานโหมดนี้ดูได้ครับ เมื่อเราใช้แอร์เสร็จ หรือในช่วงที่ใกล้จะปิดแอร์ ให้กดเปิดโหมด FAN ต่อไปอีกสัก 15-20 นาที แล้วค่อยปิดเครื่อง ก็จะช่วย ลดความชื้นสะสม ทำให้กลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์เบาลงได้ครับ และถ้าเราเปิดโหมดนี้ในฤดูหนาวก็จะเย็นสบายเลย เพราะพัดลมจะดูดอากาศหนาวข้างนอกเข้ามาภายในห้อง แถมประหยัดไฟด้วยครับเพราะคอมเพรสเซอร์ไม่ต้องทำงานนั่นเอง
โหมด HEAT (โหมดทำความร้อน)
โหมด HEAT หรือ โหมดพัดลม เป็นโหมดที่ไม่ค่อยเห็นในแอร์ที่วางขายในประเทศไทยสักเท่าไรครับโดยส่วนมากจะเป็นฟังก์ชั่นในแอร์รุ่นท็อประดับบน ๆ ของแต่ละยี่ห้อเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกโหมด ที่ไม่จำเป็นสำหรับสภาพอากาศในบ้านเรามากนัก
กระบวนการทำงาน
การทำงานจะตรงกันข้ามกับ โหมด COOL ก็คือ เป็นการเปิดคอมเพรสเซอร์ทำความร้อน โดยใช้เทคโนโลยีการทำความร้อนที่เรียกว่า Heat Pump ครับ ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเป็นการทำงานแบบกลับทิศทาง สลับหน้าที่กันระหว่างแผงคอยล์ร้อน และแผงคอยล์เย็น และเปิดพัดลมในการหมุนเวียนอากาศอุ่นภายในห้อง ทำให้เกิดความอบอุ่นในฤดูหนาวนั่นเอง
ควรใช้ตอนไหน?
เหมาะกับใช้งานในกลุ่มประเทศที่มีอากาศหนาว หรือในประเทศไทยก็ได้ ในช่วงหน้าหนาว (ที่ไม่ค่อยจะหนาวสักเท่าไหร่) เพราะเป็นโหมดที่ให้ความอบอุ่นครับ ซึ่งมีการทำงานเหมือนเป็นฮีทเตอร์เลย เพียงแต่ว่ารูปแบบของแอร์ครับ
สรุปส่งท้าย
เมื่อรู้แล้วว่าแต่ละโหมดเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราก็ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งานนะครับ เพราะการเลือกปรับโหมดที่ถูกต้อง จะเป็นการใช้งานแอร์ที่คุ้มค่า อย่างเช่น ถ้ามีเด็ก หรือคนสูงอายุอยู่ที่บ้าน ให้ใช้โหมด AUTO ได้ เพราะจะได้ไม่ต้องยุ่งยากกับการปรับแอร์ แต่ถ้าหากใช้โหมด DRY จะควบคุมความชื้นได้อย่างเหมาะสม เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ครับ เพราะถ้าความชื้นมากไปก็อาจจะจามและน้ำมูกไหล ส่วนถ้าความชื้นน้อยไปก็แสบจมูก แสบคอ หากต้องการให้อุณหภูมิในห้องของเราเย็นเร็วขึ้น ให้ใช้โหมด COLD ไม่ควรปรับอุณหภูมิสูงจนเกินไป ควรจะอยู่ที่ประมาณ 25-27 องศา และเปิดพัดลมช่วยเอาครับ ซึ่งเป็นอีกทางนึงในการลดค่าไฟ และประหยัดพลังงานด้วย หรือบางกรณีอยากลดกลิ่นชื้นของแอร์ ก็สามารถเปิดโหมด FAN เพื่อลดกลิ่นอับชื้นที่ไม่พึงประสงค์ได้ครับ
PropertyScout แหล่งรวมอสังหา ฯ ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
หาทรัพย์ที่ชอบ ในราคาที่ใช่ ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว
อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง คลิก