ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ‘เจอตำหนิ’ ต้องทำอย่างไร? (ประกันบ้านและประกันคอนโด)

ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ‘เจอตำหนิ’ ต้องทำอย่างไร? (ประกันบ้านและประกันคอนโด) ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ‘เจอตำหนิ’ ต้องทำอย่างไร? (ประกันบ้านและประกันคอนโด)
Quick Links

In Short

Advice

การซื้อบ้านสักหลัง คอนโดสักห้อง ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ เพราะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และก็เชื่อว่าทุกคนย่อมคาดหวังให้บ้านหรือคอนโดที่ซื้อไปนั้นเป็นสถานที่สำหรับอยู่อาศัยที่ สุขสบาย ปลอดภัย ไร้ความกังวล สำหรับตัวเอง ครอบครัว และคนรัก แต่ในบางครั้งเมื่ออยู่ไปอยู่มากลับต้องเจอ 'ตำหนิ' บนโครงสร้าง หรือ ส่วนประกอบอื่น ๆ หรือเลวร้ายกว่านั้นก็คือเกิดการพังเสียหาย ทั้งที่อยู่มาได้ไม่นาน สำหรับกรณีเหล่านี้ไม่ต้องวิตกกังวลนะครับ เพราะเราในฐานะผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องรับภาระในการซ่อมแซมแต่เพียงผู้เดียวครับ เพราะทางกฎหมายได้กำหนดให้ทุกโครงการต้องมีการรับประกันกับผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดก็ตาม เดี๋ยว PropertyScout จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า ประกันบ้าน ประกันคอนโดเป็นอย่างไร? รับประกันนานเท่าไหร่? และคุ้มครองในส่วนไหนบ้าง?

ซื้อบ้าน-ซื้อคอนโด-เจอตำหนิ-ต้องทำอย่างไร-ประกันบ้าน-และ-ประกันคอนโด

กฎหมายเกี่ยวกับการประกันบ้านและคอนโด

ซื้อบ้าน-กฎหมาย-เกี่ยวกับการประกันบ้าน-และคอนโด
กฎหมายเกี่ยวกับการประกันบ้านและคอนโด

อย่างแรกอยากให้ทำความเข้าใจกันคือการรับประกันบ้านและคอนโดนั้นไม่ใช่เป็นของแถมจากโครงการแต่อย่างใด แต่มีกฎหมายควบคุมให้ผู้ประกอบการสร้างบ้านสร้างคอนโดขายต้องปฏิบัติตามครับ โดยกฎหมายที่เข้ามาควบคุมจะมีอยู่ทั้งหมด 2 ประเภทดังนี้

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ - ได้ระบุไว้ว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อบ้านรับโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว ในระยะเวลาต่อมาพบตำหนิ ความชำรุดบกพร่อง หรือเกิดความเสียหาย ผู้ขายต้องรับผิดชอบครับ โดยผู้ซื้อสามารถฟ้องร้องให้ผู้ขายรับผิดชอบภายในระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่พบเห็นความเสียหายดังกล่าว

ในทางกลับกัน หากว่าในตอนซื้อ (ก่อนการรับโอนกรรมสิทธิ์) ผู้ซื้อได้รับรู้ หรือได้เห็นตำหนิ ความชำรุดบกพร่อง หรือความเสียหายดังกล่าวแล้วยังรับโอนมา ก็จะไม่สามารถไปเรียกร้องค่าเสียหายหรือความรับผิกชอบจากผู้ขายได้ครับ เพราะในกรณีนี้ถือว่าผู้ซื้อรับรู้และยอมรับความเสียหานเหล่านั้นไปแล้ว ผู้ขายจึงไม่ต้องรับผิดชอบ

พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ว่าด้วยเรื่อง 'ความรับผิดในความชำรุดบกพร่อง' - เป็นกฎหมายข้อบังคับที่ผู้ขายหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเป็นแบบมาตรฐานที่จะต้องระบุลงใน 'สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร' (มีสิ่งปลูกสร้าง) ของกรมที่ดินนั่นเองครับ ซึ่งได้กำหนดไว้ว่า 'เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องของอาคาร' โดยจะต้องมีการรับประกันความเสียหายตามนี้

  • รับประกันโครงสร้างอาคาร เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันโอนกรรมสิทธิ์
  • กรณีที่เป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ที่เป็นส่วนสำคัญอื่น ๆ ของอาคาร ต้องมีการรับประกันเป็นระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันโอนกรรมสิทธิ์

ประกันบ้านและประกันคอนโด เป็นอย่างไร คุ้มครองในส่วนไหนบ้าง?

เมื่อเข้าใจในเรื่องกฎหมายที่ควบคุมเรื่องการรับประกันบ้าน ประกันคอนโด กันแล้ว เดี๋ยวเราไปดูราบละเอียดอื่นกันต่อดีกว่าว่าประกันบ้านกับคอนโดนั้นแตกต่างกันอย่างไร และคุ้มครองในส่วนไหนบ้าง


ประกันบ้าน

ซื้อบ้าน-ประกันบ้าน
ประกันบ้าน

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ในเรื่องของประกันบ้านนั้นมี กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินที่คุ้มครองอยู่ โดยจะต้องรับประกันให้อยู่ภายในระยะเวลาและเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทางโครงการหมู่บ้านก็จะมีการระบุอย่างชัดเจนลงในหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบแก่ผู้ซื้อโดยการรับประกันสินค้าที่ขายไป หากว่าผู้ซื้อได้บ้านที่ไม่มีคุณภาพก็พร้อมที่จะซ่อมแซมให้ตามที่ระบุลงในสัญญา และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้

รูปแบบของการรับประกันบ้าน

1. ประกันโครงสร้างบ้าน (Structural Defects) - ภายในระยะเวลา 5 ปีหลังโอนกรรมสิทธิ์ โครงการจะต้องรับประกันในส่วนที่เป็นโครงสร้างของตัวบ้านได้แก่ ฐานราก , เสาเข็ม , เสาบ้าน , คาน , พื้น ,โครงหลังคา , และผนังรับน้ำหนัก

ตัวอย่างการรับประกันโครงสร้างบ้าน - นาย PropertyScout ซื้อบ้านเดี่ยวในโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่อาศัยได้ประมาณ 2 ปีครึ่ง อยู่ดี ๆ มาพบว่าบริเวณผนังส่วนหลังบ้านเกิดรอยร้าว ทำให้มองเข้าไปเห็นโครงสร้างภายในเสียหาย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถแจ้งกับทางโครงการให้มารับผิดชอบซ่อมแซมได้ เพราะยังอยู่ในระยะประกัน 5 ปีครับ

อย่างไรก็ตาม หากผู้ซื้อ หรือเจ้าของบ้านได้ทำการต่อเติมบ้าน หรือมีการดัดแปลงตัวบ้านแล้วเกิดความเสียหายในส่วนของโครงสร้าง อย่างเช่น การต่อเติมพื้นที่จอดรถเพิ่ม การต่อเติมพื้นที่ครัวด้านหลัง การต่อเติมห้องนั่งเล่นด้านข้างของตัวบ้าน ทางโครงการไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบความเสียหาย และเจ้าของบ้านก็จะต้องซ่อมแซมเองครับ

2. ประกันส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ที่เป็นส่วนสำคัญของอาคาร (Non-Structural Defects) -ภายในระยะเวลา 1 ปีหลังโอนกรรมสิทธิ์ ได้แก่ ประตูหน้าบ้าน , รั้วบ้าน , กำแพงบ้าน , ราวระเบียง , หลังคาและฝ้าเพดาน , ผนังและพื้น , บันได , งานประตู , งานหน้าต่าง , งานระบบไฟฟ้า-ประปา , งานเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยโครงการจะให้การรับประกันแค่ในสิ่งที่ติดตั้งและก่อสร้างมาให้แต่แรกเท่านั้น ไม่รวมสิ่งของ หรือวัสดุที่ผู้อยู่อาศัยติดตั้งเพิ่มหลังจากรับโอนบ้านครับ


อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง คลิก


ประกันคอนโด

ประกันคอนโด
ประกันคอนโด

สำหรับประกันคอนโด หรือประกันภัยอาคารชุดนั้น โครงการจะทำประกันไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในความเสียหายในกรณีต่าง ๆ ไว้ครับ โดยส่วนใหญ่แล้วจะประกันเฉพาะส่วนโครงสร้างอาคารและพื้นที่ส่วนกลาง โดยจะเก็บเงินค่าเบี้ยประกันจากลูกบ้านเป็นค่าใช้จ่ายคิดตามตารางเมตรในโฉนด และจะแยกออกจากเงินค่ากองทุนและค่าส่วนกลางของคอนโดไว้สำหรับจ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์พร้อมกัน

สำหรับบางโครงการก็อาจจะคำนวณไว้ในเงินค่าส่วนกลางก้อนแรกที่เรียกเก็บ ซึ่งจะมีช่วงเวลาเอาประกันเริ่มตั้งแต่วันโอนกรรมสิทธิ์ห้องแรกนับไปจนครบ 1 ปี หลังจากนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับนิติบุคคลว่าจะตัดสินใจทำประกันต่อหรือไม่

วิธีดูว่าประกันคอนโดของคุ้มครองอะไรบ้าง สามารถสอบถามกับโครงการ นิติบุคคล หรือสามารถดูในเอกสารแนบตอนทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยทางโครงการจะต้องระบุทั้งรายละเอียดของสิ่งที่จะได้รับการคุ้มครอง และระยะเวลาการคุ้มครอง ตลอดจนเงื่อนไขอื่น ๆ ไว้ครับ

รูปแบบของการรับประกันคอนโด

1. ประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิด (All Risk) - ประกันที่คุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกกรณีที่จะเกิดขึ้นกับอาคาร ทั้งทรัพย์สินส่วนบุคคล อย่าง ห้องชุด เฟอร์นิเจอร์ และ ทรัพย์ส่วนกลาง อย่างตัวอาคาร รั้วกำแพงโครงการ ฝ้าเพดาน ผนังโดยรอบ อุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ รวมไปถึง ลิฟต์ งานระบบต่าง ๆ

ซึ่งรายการที่คุ้มครองจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่ระบุไว้ในประกัน บางโครงการระบุว่าคุ้มครองเฉพาะตัวห้อง ส่วนบางโครงการก็คุ้มครองเฟอร์นิเจอร์ที่ทางโครงการแถมมาให้ด้วย แต่โดยส่วนใหญ่มักจะไม่รวมเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือของตกแต่งอื่น ๆ ที่เจ้าของห้องซื้อเข้ามาเพิ่มเติมในภายหลังครับ ซึ่งถ้าถามว่าจะได้ความคุ้มครองมากน้อยขนาดไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของประกันที่ทางโครงการหรือนิติบุคคลทำเอาไว้ อย่างไรก็ตามนิติบุคคลจะเป็นผู้พิจารณาค่าเบี้ยประกันให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่

2. การประกันภัยต่อบุคคลภายนอก (Public Liability) - อย่างเช่นการคุ้มครองกรณีที่มีสิ่งของจากบนอาคารคอนโดตกใส่รถยนต์ของบุคคลที่เข้ามาในโครงการและทำให้เกิดความเสียหาย เป็นต้น สำหรับคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารที่มีคนพักอาศัยจำนวนมาก ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทำนองนี้กับบุคคลอื่น ซึ่งในบางครั้งอาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นการที่โครงการทำประกันรูปแบบนี้เอาไว้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อลูกบ้านผู้อยู่อาศัยครับ


สรุปส่งท้าย

PropertyScout หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังหาซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดก็ตามนะครับ เพื่อให้อยู่อาศัยได้อย่างสุขสบาย ปลอดภัย ไร้ความกังวล ก็อย่าลืมตรวจเช็ครายละเอียดในเอกสารสัญญาทุกฉบับให้ดี ก่อนเซ็นรับโอนกรรมสิทธิ์นะครับ โดยเฉพาะในเรื่องของประกันและรายละเอียดความคุ้มครองต่าง ๆ ที่ทางโครงการมีให้ เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ของเราในเวลาที่เจอกับสิ่งไม่คาดคิดอย่างรอยตำหนิ หรือความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนบ้านและคอนโดของเราครับ


มองหาคอนโดคุณภาพ หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น PropertyScout มีให้เลือกกว่า 250,000 ที่ทั่วประเทศไทย คลิกตามด้านล่างได้เลย


อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง คลิก





FAQs

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique.

Explore More Topics

Free real estate resources and tips on how to capitalise